ส่งออกต้องจับตา! CBAM มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามแดนของอียู
ร่างกฎหมายว่าด้วยมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน
(Carbon
border Adjustment Mechanism-CBAM) ที่คาดว่าจะออกมากำกับดูแลและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องการแข่งขันทางการค้า
และเชื่อมโยงกับการย้ายฐานการผลิตสินค้าจากประเทศพัฒนาแล้ว ไปสู่ประเทศกำลังพัฒนาที่มีความเข้มงวดน้อยในเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ
โดยเมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมาธิการด้านสิ่งแวดล้อมของสภายุโรป (ENVI) ได้มีการจัดประชุมนัดแรก เพื่อหารือร่วมกันในเบื้องต้นเกี่ยวกับ ‘ก่อนรับหลักการ’ โดยส่วนใหญ่เห็นความจำเป็นในการตรากฎหมาย CBAM หนุนการรักษาศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจยุโรปและการจ้างงานในภูมิภาค แต่ยังมีรายละเอียดที่ต้องหารือ โดยมีหัวข้อที่ผู้ผลิต และผู้ส่งออกไทยควรพิจารณาดังนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ประเภทอุตสาหกรรมที่จะถูกใช้มาตรการ CBAM
สภายุโรปมองว่าแม้มาตรการ CBAM
จะช่วยให้อียูเร่งจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมาย
และส่งเสริมบทบาทของอียูในฐานะผู้นำในเวทีสิ่งแวดล้อมโลก แต่ก็อาจส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมภายในกับต่างประเทศ
และระดับการจ้างงานในภูมิภาค
รวมทั้งยังอาจทำลายบรรยากาศการเจรจาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ได้
ดังนั้น
อียูจึงควรเริ่มใช้มาตรการนี้กับสินค้านำเข้าบางประเภทก่อน เช่น ไฟฟ้า และซีเมนต์
เพื่อลดแรงต้านจากประเทศที่จะถูกกระทบโดยตรง
และจำกัดผลกระทบด้านภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการภายในที่อาจเกิดขึ้น ภายหลังจากอียูทำการ
phase-out
ใบอนุญาตแบบให้เปล่า แก่อุตสาหกรรมสาขาที่อ่อนไหวภายใต้ระบบ EU
ETS ตลอดจนยกเลิกการคืนภาษีสินค้าให้แก่ผู้ส่งออก เพื่อให้เป็นไปตามกติกาของ
WTO
อย่างไรก็ตามในที่ประชุมมีโต้แย้งว่า การบังคับใช้มาตรการดังกล่าวไม่ควรจำกัดอยู่ในวงแคบ
และน่าจะครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเกิดการใช้ไฟฟ้าในกระบวนการผลิตด้วย
เพื่อช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อันเนื่องจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น
น้ำมันและถ่านหิน
รวมทั้งการผลิตสินค้าที่มีความซับซ้อน
ซึ่งปัจจุบันยังไม่อยู่ในขอบข่ายของร่างมาตรการ CBAM อย่างเช่น รถยนต์ (ที่มีการใช้เหล็กในการผลิต)
อาจทำให้ผู้ประกอบการอียูต้องเผชิญปัญหาจากคู่แข่งต่างชาติ ที่สามารถผลิตรถยนต์ในราคาต้นทุนที่ต่ำกว่าแล้วส่งกลับเข้ามาขายในตลาดอียู
เนื่องจากประเทศเหล่านั้นไม่มีมาตรการ CBAM ในทํานองเดียวกันกับของอียูที่ใช้บังคับกับเหล็ก
จึงอยากให้ภาครัฐหามาตรการอุดช่องโหว่การหลบเลี่ยงมาตรการ CBAM ของอียูด้วย
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการยุโรป (DG
Taxud) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบกฎหมาย CBAM ชี้แจงว่า
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
อียูจะเริ่มบังคับใช้มาตรการ CBAM อย่างเต็มรูปแบบกับสินค้า 5 ประเภทก่อน ได้แก่ ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม
และอาจขยายมาตรการให้ครอบคลุมสินค้าประเภทอื่นด้วยในอนาคต โดยหลังจากปี 2573
การลดหย่อนภาษีอากรแก่ผู้ส่งออกกับหลักเกณฑ์ของ
WTO
มีการหารือถึงกฎหมาย CBAM
ที่อาจทำให้การส่งออกของอียูเสียเปรียบคู่แข่ง
เนื่องจากเป็นการเพิ่มภาระภาษีแก่ผู้ประกอบการที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นมาจากต่างประเทศ
เพื่อใช้ในกระบวนการผลิต
โดยเฉพาะหากมีการออกนโยบายยกเลิกการคืนภาษีสินค้าส่งออกในอนาคต เพื่อให้เป็นไปตามกติกาของ
WTO
โดยมาตรการ CBAM เป็นมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่มีนัยยะด้านความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของ
WTO แต่อย่างไรก็ดี เพื่อลดข้อกังขาว่ามาตรการดังกล่าวนั้น เป็นการสร้างแต้มต่อให้กับภาคอุตสาหกรรมอียู
อียูอาจจำเป็นต้องยุติการให้ส่วนลดทางภาษีที่เรียกเก็บจากการส่งออก
โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่อยู่ภายใต้ระบบ EU
ETS เพราะอาจถูกมองว่าเป็นการอุดหนุนการส่งออกที่ก่อให้เกิดการบิดเบือนการค้าระหว่างประเทศได้
ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปจะหารือกับอุตสาหกรรมภายในเกี่ยวกับประเด็นนี้อีกครั้ง
เพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมต่อไป
จากนี้ต่อไป คณะกรรมาธิการ ENVI
จะจัดทำความเห็นเพื่อเสนอให้ที่ประชุมใหญ่สภายุโรปพิจารณา
โดยเมื่อสภายุโรปมีท่าทีแล้วก็จะนำไปหารือกับคณะมนตรียุโรปและคณะกรรมาธิการยุโรป เพื่อหาข้อสรุปของร่างกฎหมาย
CBAM ต่อไป
ซึ่งมีรายละเอียดเพิ่มเติมอย่างไรเราจะนำข้อมูลมานำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบอีกครั้ง
แหล่งอ้างอิง: