ทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว
ไม่เว้นแม้แต่ "อินโดนีเซีย" ที่ล่าสุดสำนักงานสถิติแห่งชาติอินโดนีเซีย
ได้ออกรายงานสรุปตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP)
ในปี 2562 ขยายตัวเพียง 5.02% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี
แต่ภายใต้ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจนั้น กลับปรากฏว่าอัตราการเติบโตของของ "ตลาดเครื่องสําอาง" ในอินโดนีเซีย ขยายตัวสวนทางกับจีดีพี โดยประมาณการณ์การเติบโตเฉลี่ยปีละ 7% นับจากปี 2562 ถึงปี 2564
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนชัดว่า ผู้บริโภคอินโดนีเซียเริ่มให้ความสําคัญกับความงามมากขึ้น
เป็นผลจากการโฆษณาบนโซเชียลมีเดียต่างๆ ตลอดจนกระแสความงามเกาหลีใต้ (K-beauty)
และกำลังซื้อของแรงงานผู้หญิงเพิ่มขึ้น จึงต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสําอางระดับพรีเมียม
ในด้านการผลิตเครื่องสำอางตามรายงานจาก Euromonitor
- CAGR ระบุว่า ปี 2556-2561 ผลิตภัณฑ์ที่มีการเติบโตสูงสุด 5
ลําดับแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่น เติบโต 29.1% ผลิตภัณฑ์แต่งกายชาย 17.6%
ผลิตภัณฑ์บํารุงผิว 13.8% ผลิตภัณฑ์ความงามระดับ premium 13.5%
และผลิตภัณฑ์เฉพาะสําหรับเด็ก 12.5%
และล่าสุดผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปี
2561 ได้แก่ แผ่นมาสก์หน้า และ multifunction lip เป็นผลจากกระแสความงามเกาหลีใต้
ทั้งนี้
กลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในอินโดนีเซีย
เมื่อปี 2561ยังเป็นบริษัทต่างชาติชั้นนํา ได้แก่ UnileverIndonesia,
Procter & Gamble Home Products Indonesia และ L’Oreal
Indonesia แต่ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากเครื่องสำอางเกาหลี
แม้ว่าสตรีชาวอินโดนีเซียจะนิยมใช้เครื่องสำอางเพิ่มขึ้น แต่ผลจากเคร่งครัดของศาสนาเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ผู้บริโภค เลือกใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ฮาลาลก่อนเป็นอันดับแรกรองลงมาจึงจะพิจารณาราคา รูปแบบ บรรจุภัณฑ์ และส่วนประกอบด้านอื่น
นอกจากการผลิตภายในแล้ว
อินโดนีเซียยังมีการนำเข้า และส่งออกเครื่องสำอางด้วย โดยในปี 2561 มีการนำเข้า 1,931
ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 2560 มีการนำเข้า 1,638 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
และล่าสุดในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม – กันยายน) 2562 นำเข้ามูลค่า 1,396
ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากแหล่งนำเข้าหลัก 5 ประเทศ ได้แก่ จีน มูลค่า 252.2
ล้านเหรียญสหรัฐ สิงคโปร์ 304.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ฝรั่งเศส 86.5 ล้านเหรียญสหรัฐ สหรัฐ
108.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และญี่ปุ่น 96.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนไทยเป็นอันดับ 6
จากภาพความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้สะท้อนว่า โอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องสําอางในอินโดนีเซียยังมีสูง จึงทำให้มีบริษัทเครื่องสําอางยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศลงทุนในอินโดนีเซีย ได้แก่ L’Oreal เข้าไปตั้งโรงงาน ขณะที่บริษัทยูนิลิเวอร์อินโดนีเซียยังเป็นผู้นําตลาด
อนาคตธุรกิจนี้ยังมีโอกาส
เพราะปัจจุบันฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
จากการขยายตัวของกลุ่มชนชั้นกลางซึ่งมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นจาก 19.6 ล้านครัวเรือน
เป็น 23.9 ล้านครัวเรือใน 10 ปีข้างหน้า หรือราวปี 2573
ประกอบการการขยายตัวของระบบการค้าออนไลน์และอีคอมเมิร์ชทำให้สินค้ากลุ่มนี้
เข้าถึงผู้บริโภคที่มีความนิยมใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการซื้อผ่านแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ทั้งที่เป็นของอินโดนีเซีย
และจากทั่วโลก เช่น Tokopedia, Bukalapak, Shoppee, Lazada, Elevenia เป็นต้น
ด้านความท้าทายที่ผู้ผลิตเครื่องสำอางต้องผ่านไปให้ได้คือ
การขึ้นทะเบียนกับสำนักงานควบคุมอาหารและยา หรือ Badan Pengawas
Obat dan Makanan (BPOM) ที่ใช้เวลานานและซับซ้อน
สำหรับใบอนุญาตเครื่องสําอางแต่ละใบจะมีมีระยะเวลา 3 ปี และสามารถต่ออายุได้
นอกจากนี้รัฐบาลอินโดนีเซียออกพระราชบัญญัติการรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาล
กำหนดให้เครื่องสำอางเป็นสินค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ต้องต้องได้รับการรับรองฮาลาล
ซึ่งกำลังจะมีผลบังคับใช้ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้หากไทยสามารถก้าวผ่านความท้าทายเหล่านี้ไปได้ ก็นับว่าจะเป็นจุดแข็งที่ทำให้ไทยเหนือกว่าผู้ผลิตอื่นได้
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
โอกาสธุรกิจสปาไทย...ขยายไปมาเลเซีย
การแข่งขันของผลไม้ไทยในตลาดสิงคโปร์