หลังจากเมียนมาเปิดประเทศก็ได้กลายเป็นขุมทองที่คอยดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลก
แต่ในนาทีนี้อัตราการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ของเมียนมาถือว่ามาแรงและเร็วที่สุดในอาเซียน
โดยในช่วงเพียงชั่วเวลาไม่กี่สัปดาห์ ยอดจำนวนผู้ติดเชื้อ “เมียนมา”
ขยับขึ้นเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน ซึ่งส่งผลต่ออนาคตการเป็นแหล่งลงทุนของเมียนมา
ความเลวร้ายของสถานการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาโค้งสุดท้ายก่อนจะมีการเลือกตั้งใหญ่ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 นี้ ซึ่งทางการเมียนมายังคงยืนยันที่จะเดินหน้าจัดการเลือกตั้งต่อไป ท่ามกลางอนาคตเศรษฐกิจของเมียนมาที่ยังไม่แน่นอน ความมั่นคงทางการเงินและเสถียรภาพทางการคลังของประเทศยังอยู่จุดเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ล่าสุดธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB)
คาดการณ์ว่า พิษจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ในครั้งนี้
อาจจะทำให้เศรษฐกิจเมียนมาขยายตัวลดลงเหลือเพียง 1% เปรียบเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ครั้งก่อนหน้าเมื่อเดือนเมษายนที่ชี้ว่าเศรษฐกิจอาจจะขยายตัว
4.2% และจะกลับมาฟื้นตัวในปี 2564 ที่สำคัญคือวิกฤตครั้งนี้ จะกระทบต่อบรรยาการลงทุนโดยต่างจากต่างชาติ
(FDI) จากที่เคยหลั่งไหลเข้าไปยังเมียนมาอาจต้องชะลอตัวลง
ทั้งนี้ ในเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา
รัฐบาลเมียนมาได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน มูลค่า 134,246 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการอนุมัติ 99,904 ล้านบาท
ประเภทโครงการการลงทุนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มโรงไฟฟ้า การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
และโรงงานอุตสาหกรรม แต่จากเกิดภาวะดีมานด์-ซัพพลายช็อค และจากการระบาดของโควิด 19
ที่เพิ่มขึ้น ทำให้รัฐบาลออกมาตรการควบคุมที่เข้มวงดมากขึ้น
ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆต้องหยุดชะงักลง
ไม่เพียงเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ในรายงานเรื่องความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease
of Doing Business) ของธนาคารโลก (WorldBank) ประจำปี
2563 ได้จัดอันดับให้เมียนมาอยู่ที่อันดับ 165 จากทั้งหมด 190 ประเทศ
สะท้อนถึงความน่าลงทุนที่น้อยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
จากปัญหาเรื่องการคอร์รัปชั่นในระดับสูง และกฎระเบียบที่ยุ่งยาก
ความตึงเครียดทั้งจากสถานการณ์โควิด 19
และแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ทั้งสงความการค้า จะเป็นแรงบีบสำคัญต่อรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้ามารับตำแหน่ง
ว่าจะต้องเร่งสปีดวางนโยบายอย่างไรก็ได้ที่จะดึงดูดการลงทุนจากทุนต่างชาติ
โดยเฉพาะหลายๆ ประเทศที่กำลังเล็งว่าจะย้ายฐานการผลิต ให้ตัดสินใจปักหมุดเลือก
"เมียนมา" เป็นประเทศเป้าหมายแทนที่จะไปปักธงลงทุนที่ประเทศเพื่อนบ้านอื่น
อย่างเช่น ประเทศเวียดนาม ไทย หรือกัมพูชา
เพราะถึงอย่างไร หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ
ในอาเซียนแล้ว เมียนมายังมีความได้เปรียบในด้านที่เป็นแหล่งลงทุนใหม่
มีโอกาสเติบโตอีกมาก ทั้งความอุดมสมบูรณ์ด้านวัตถุดิบ ต้นทุนแรงงานต่ำ เพียงแต่สิ่งที่สำคัญที่นักลงทุนต่างชาติต้องการ
คือการสร้างระบบกฎหมายที่เป็นมาตรฐาน การบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ
สร้างความมั่นใจสร้างบรรยากาศการลงทุน ทั้งเรื่องการจัดตั้งธุรกิจที่สะดวกและรวดเร็ว
การจ้างงาน การหาลูกค้า และนักลงทุนต่างก็คาดหวังว่าจะได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรมหากเข้าไปลงทุนในเมียนมาด้วย
แหล่งอ้างอิง : สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา