แนะภาคอุตสาหกรรมรับมือ ปัจจัยเสี่ยง 3 ภัยพิบัติ

SME Update
15/08/2019
รับชมแล้วทั้งหมด 3270 คน
แนะภาคอุตสาหกรรมรับมือ ปัจจัยเสี่ยง 3 ภัยพิบัติ
banner

ปัจจุบันภาครัฐและโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้มีการนำเอาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการผลิตเข้ามาใช้ในระบบอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น แต่จากข้อมูลกลับพบว่าโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งยังไม่มีระบบบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติที่มากพอ ส่งผลให้ทุกครั้งที่เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน หรือภัยพิบัติในด้านอื่น ๆ มักจะเกิดผลกระทบต่อระบบการผลิตทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องและหลายธุรกิจจำเป็นต้องหยุดชะงัก ทั้งยังส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ของประเทศ กระทบความเชื่อมั่นในการลงทุนและลดโอกาสทางธุรกิจ

โรงงานอุตสาหกรรมทุกขนาดรวมทั้งกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี จึงควรมีการสรรหาเทคโนโลยีเพื่อรองรับหรือป้องกันผลกระทบดังกล่าว รวมถึงมีแผนในการบริหารความเสี่ยงเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินงาน (Business Continuity Management) ให้มากขึ้น ซึ่งยังเป็นผลดีในด้านการลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรักษาที่ในภาพรวมมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme 


ดร.ณัฏฐ์  ลีละวัฒน์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยระบบสารสนเทศการจัดการภัยพิบัติและความเสี่ยง และอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยควรหันมาให้ความสนใจและวางแผนในเรื่องความเสี่ยงทางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะจากภัยพิบัติ 3 ประเภท ได้แก่

ภัยแล้ง โดยเฉพาะในปีนี้ด้วยเหตุจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตเนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภทจำเป็นจะต้องใช้น้ำเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิต โดยคาดว่าพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบมากจะเป็นพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอาจมีผลกระทบต่อพื้นที่ภาคตะวันออก อย่างอีอีซี ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา

น้ำท่วมฉับพลัน เป็นภัยพิบัติที่อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในระดับที่รุนแรง แต่อาจมีผลในด้านความล่าช้าและความต่อเนื่องทั้งในการกระจายสินค้า การผลิต รวมถึงผลกระทบที่มีต่อเครื่องจักรและความปลอดภัย ส่วนปัญหาอุทกภัยคาดว่าปีนี้จะไม่อยู่ในระดับวิกฤติ เนื่องด้วยข้อมูลการระบายของน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ และข้อมูลสภาพภูมิอากาศที่ไม่น่ากังวลมากนัก

ปัญหาฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ต้องจับตาสถานการณ์ โดยเฉพาะในช่วงปลายปี (พฤศจิกายน – ธันวาคม) จนยาวไปถึงต้นปีถัดไปที่อาจจะมีความรุนแรง โดยโรงงานอุตสาหกรรมควรมีแผนควบคุมมลพิษที่เกิดจากกระบวนการผลิต รวมทั้งการจัดการหากสภาวะดังกล่าวอยู่ในขั้นวิกฤติ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของบุคลากรหรือผู้ใช้แรงงาน

 


ดัน นิคมฯโรจนะ ต้นแบบรับมือภัยพิบัติ

ทั้งนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วมวิจัยและพัฒนาแบบจำลองการบริหารจัดการน้ำร่วมกับศูนย์อุทกภัยและจัดการความเสี่ยงระดับประเทศ (ICHARM) ของประเทศญี่ปุ่นและหน่วยงานภาครัฐของไทย เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น พร้อมนำข้อมูลมาวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านอุทกภัย ผลกระทบทางธุรกิจ ความเสี่ยงด้านสังคม และจัดทำแบบจำลองน้ำท่วมที่มีความแม่นยำ และแชร์ข้อมูลให้กับองค์กรและชุมชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการยกระดับความปลอดภัยในภาคอุตสาหกรรมและชุมชน และทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินการไปได้อย่างต่อเนื่อง

โดยได้เริ่มศึกษาและวางแผนการพัฒนาในพื้นที่ศึกษาสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายหนักจากมหาอุทกภัยในปีพ.ศ. 2554 และคาดว่าการพัฒนาระบบจะเสร็จสมบูรณ์และพร้อมใช้ในนิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่างเป็นทางการประมาณปี 2565 เพื่อให้เป็นต้นแบบระบบสำหรับใช้ในการต่อยอดการพัฒนาสำหรับรับมือภัยแล้งหรือปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และภัยพิบัติในด้านอื่น ๆ ต่อไป

สำหรับแนวคิด  Area-Business Continuity Management (Area-BCM) หรือแนวคิดการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจระดับพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่น เป็นการคำนึงถึงทรัพยากรและหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยสำหรับรับมือผลกระทบด้านอุทกภัยได้ โดย Area-BCM เป็นกระบวนการเข้าใจความเสี่ยงและผลกระทบ การหายุทธศาสตร์จัดการความเสี่ยง การพัฒนา Area-Business Continuity Plan (Area-BCP) การทำ Planed Action และการสอดส่องปรับปรุงระบบ Area-BCM อย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือจากกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย ได้แก่ องค์กร, ผู้จัดการสวนอุตสาหกรรม, เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ผู้ดูแลสาธารณูปโภคพื้นฐาน และชุมชน

ส่วน Area-BCP จะเป็นตัวกำหนดกรอบและทิศทางของมาตรการบรรเทาความเสียหารย และการแก้ปัญหาโดยผู้มีส่วนได้เสียเพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปได้อย่งต่อเนื่องในพื้นที่อุตสาหกรรม


ประเทศไทยได้ผ่านมหาอุทกภัย เมื่อปี 2554 เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดถึงภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมที่ถูกเชื่อมต่อด้วยห่วงโซ่อุปทาน และเครือข่ายการค้า สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล ซึ่งในประเทศไทยได้เริ่มใช้แนวคิด Area-BCM ไปบ้างแล้ว เป็นโครงการนำร่อง ขณะที่หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เริ่มนำมาใช้ในปี 2556 - 2557

กุญแจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของการทำ Area-BCM คือการแชร์ภารกิจร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับภาคเอกชนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนของประชาชนในประเทศไทย จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือการทำให้ผู้บริหาร และพนักงานทุกคนขององค์กรร่วมทั้งผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงความสำคัญ เพื่อให้เกิดความร่วมมือและการสนับสนุนในการดำเนินงานต่อไป


Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน1333


Related Article

‘TikTok For All’ Update เทรนด์ใหม่ปี 2024 พร้อมกลยุทธ์เพิ่มโอกาส SME ไทยสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน

‘TikTok For All’ Update เทรนด์ใหม่ปี 2024 พร้อมกลยุทธ์เพิ่มโอกาส SME ไทยสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน

TikTok ตอกย้ำการเป็นแพลตฟอร์มเอนเตอร์เทนเมนต์ที่น่าเชื่อถือสำหรับทุกคน ทั้งครีเอเตอร์ คอมมูนิตี้ผู้ใช้งาน และธุรกิจทุกขนาดในไทย ด้วยการเปิดตัว…
pin
1220 | 14/02/2024
ทอดไม่ทิ้ง! เปลี่ยน ‘น้ำมันเหลือทิ้ง’ เป็น ‘น้ำมันเครื่องบิน’ โอกาสใหม่ SME ไทย เติบโตอย่างยั่งยืน

ทอดไม่ทิ้ง! เปลี่ยน ‘น้ำมันเหลือทิ้ง’ เป็น ‘น้ำมันเครื่องบิน’ โอกาสใหม่ SME ไทย เติบโตอย่างยั่งยืน

ขณะที่ยานพาหนะต่าง ๆ ทั้ง รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รถไฟ และเรือ ต่างมุ่งสู่การใช้เชื้อเพลิงพลังงานทดแทน ที่เป็นพลังงานสะอาดกันแล้ว แต่สำหรับการเดินทางโดยอากาศยาน…
pin
1580 | 26/01/2024
จับกระแส 'เทรนด์ธุรกิจ' ปี 2024 ใครได้ไปต่อ ใครมาแรง SME ไทยต้องรู้

จับกระแส 'เทรนด์ธุรกิจ' ปี 2024 ใครได้ไปต่อ ใครมาแรง SME ไทยต้องรู้

ปี 2024 นี้ ธุรกิจไหนมาแรง ธุรกิจไหนน่าจับตา เทรนด์ธุรกิจใดกำลังมาแรง Bangkok Bank SME สรุปมาไว้ในบทความนี้ เพื่อเป็นแนวทางแก่ SME และผู้ที่กำลังคิดจะเริ่มต้นทำธุรกิจทุกท่าน…
pin
1858 | 25/01/2024
แนะภาคอุตสาหกรรมรับมือ ปัจจัยเสี่ยง 3 ภัยพิบัติ