ปัจจุบันภาครัฐและโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้มีการนำเอาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการผลิตเข้ามาใช้ในระบบอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น
แต่จากข้อมูลกลับพบว่าโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งยังไม่มีระบบบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติที่มากพอ
ส่งผลให้ทุกครั้งที่เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน หรือภัยพิบัติในด้านอื่น
ๆ
มักจะเกิดผลกระทบต่อระบบการผลิตทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องและหลายธุรกิจจำเป็นต้องหยุดชะงัก
ทั้งยังส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิต (Supply
Chain) ของประเทศ
กระทบความเชื่อมั่นในการลงทุนและลดโอกาสทางธุรกิจ
โรงงานอุตสาหกรรมทุกขนาดรวมทั้งกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี จึงควรมีการสรรหาเทคโนโลยีเพื่อรองรับหรือป้องกันผลกระทบดังกล่าว รวมถึงมีแผนในการบริหารความเสี่ยงเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินงาน (Business Continuity Management) ให้มากขึ้น ซึ่งยังเป็นผลดีในด้านการลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรักษาที่ในภาพรวมมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
ดร.ณัฏฐ์ ลีละวัฒน์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยระบบสารสนเทศการจัดการภัยพิบัติและความเสี่ยง
และอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยควรหันมาให้ความสนใจและวางแผนในเรื่องความเสี่ยงทางอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะจากภัยพิบัติ 3 ประเภท ได้แก่
ภัยแล้ง โดยเฉพาะในปีนี้ด้วยเหตุจากปรากฏการณ์เอลนีโญ
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตเนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภทจำเป็นจะต้องใช้น้ำเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิต
โดยคาดว่าพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบมากจะเป็นพื้นที่ภาคเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอาจมีผลกระทบต่อพื้นที่ภาคตะวันออก อย่างอีอีซี ได้แก่ ระยอง
ชลบุรี และฉะเชิงเทรา
น้ำท่วมฉับพลัน เป็นภัยพิบัติที่อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในระดับที่รุนแรง
แต่อาจมีผลในด้านความล่าช้าและความต่อเนื่องทั้งในการกระจายสินค้า การผลิต
รวมถึงผลกระทบที่มีต่อเครื่องจักรและความปลอดภัย
ส่วนปัญหาอุทกภัยคาดว่าปีนี้จะไม่อยู่ในระดับวิกฤติ
เนื่องด้วยข้อมูลการระบายของน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ
และข้อมูลสภาพภูมิอากาศที่ไม่น่ากังวลมากนัก
ปัญหาฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ต้องจับตาสถานการณ์ โดยเฉพาะในช่วงปลายปี (พฤศจิกายน – ธันวาคม)
จนยาวไปถึงต้นปีถัดไปที่อาจจะมีความรุนแรง
โดยโรงงานอุตสาหกรรมควรมีแผนควบคุมมลพิษที่เกิดจากกระบวนการผลิต
รวมทั้งการจัดการหากสภาวะดังกล่าวอยู่ในขั้นวิกฤติ
ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของบุคลากรหรือผู้ใช้แรงงาน
ทั้งนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วมวิจัยและพัฒนาแบบจำลองการบริหารจัดการน้ำร่วมกับศูนย์อุทกภัยและจัดการความเสี่ยงระดับประเทศ
(ICHARM) ของประเทศญี่ปุ่นและหน่วยงานภาครัฐของไทย เช่น
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย, กรมชลประทาน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น พร้อมนำข้อมูลมาวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านอุทกภัย
ผลกระทบทางธุรกิจ ความเสี่ยงด้านสังคม และจัดทำแบบจำลองน้ำท่วมที่มีความแม่นยำ
และแชร์ข้อมูลให้กับองค์กรและชุมชนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเป็นการยกระดับความปลอดภัยในภาคอุตสาหกรรมและชุมชน และทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินการไปได้อย่างต่อเนื่อง
โดยได้เริ่มศึกษาและวางแผนการพัฒนาในพื้นที่ศึกษาสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายหนักจากมหาอุทกภัยในปีพ.ศ.
2554 และคาดว่าการพัฒนาระบบจะเสร็จสมบูรณ์และพร้อมใช้ในนิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ
อย่างเป็นทางการประมาณปี 2565 เพื่อให้เป็นต้นแบบระบบสำหรับใช้ในการต่อยอดการพัฒนาสำหรับรับมือภัยแล้งหรือปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และภัยพิบัติในด้านอื่น
ๆ ต่อไป
สำหรับแนวคิด Area-Business Continuity Management (Area-BCM) หรือแนวคิดการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจระดับพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่น
เป็นการคำนึงถึงทรัพยากรและหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่
รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยสำหรับรับมือผลกระทบด้านอุทกภัยได้ โดย Area-BCM
เป็นกระบวนการเข้าใจความเสี่ยงและผลกระทบ
การหายุทธศาสตร์จัดการความเสี่ยง การพัฒนา Area-Business Continuity Plan (Area-BCP) การทำ Planed Action และการสอดส่องปรับปรุงระบบ Area-BCM
อย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือจากกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย ได้แก่ องค์กร,
ผู้จัดการสวนอุตสาหกรรม, เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ผู้ดูแลสาธารณูปโภคพื้นฐาน และชุมชน
ส่วน Area-BCP จะเป็นตัวกำหนดกรอบและทิศทางของมาตรการบรรเทาความเสียหารย และการแก้ปัญหาโดยผู้มีส่วนได้เสียเพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปได้อย่งต่อเนื่องในพื้นที่อุตสาหกรรม
ประเทศไทยได้ผ่านมหาอุทกภัย
เมื่อปี 2554 เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดถึงภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมที่ถูกเชื่อมต่อด้วยห่วงโซ่อุปทาน
และเครือข่ายการค้า สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล ซึ่งในประเทศไทยได้เริ่มใช้แนวคิด
Area-BCM ไปบ้างแล้ว เป็นโครงการนำร่อง
ขณะที่หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย
และเวียดนาม เริ่มนำมาใช้ในปี 2556 - 2557
กุญแจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของการทำ
Area-BCM คือการแชร์ภารกิจร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนได้เสีย
เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับภาคเอกชนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนของประชาชนในประเทศไทย
จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือการทำให้ผู้บริหาร
และพนักงานทุกคนขององค์กรร่วมทั้งผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงความสำคัญ
เพื่อให้เกิดความร่วมมือและการสนับสนุนในการดำเนินงานต่อไป