‘โดรน’ เทคโนโลยีทางเลือกภาคเกษตร ตอบโจทย์การทำงานฟาร์ม
ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่โลกแห่งเทคโนโลยีดิจิทัล
4.0
ซึ่งเป็นยุคที่มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมมาใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทุกภาคส่วนให้ก้าวไกลกว่าทุกยุคที่ผ่านมา
เป็นการนำนวัตกรรมต่างๆ
เข้ามาประยุกต์ใช้กับภาคการเกษตรแบบหลากมิติครอบคลุมทุกด้าน โดยเฉพาะนวัตกรรมโดรนเพื่อการเกษตร ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอันดีจากกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่
เพราะได้ทั้งความประหยัด สะดวกสบาย และสนุกสนานในการทำงานไปในคราวเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ในอนาคตอันใกล้บ้านเราอาจต้องมีข้อกฎหมายเกี่ยวกับโดรนออกมาควบคุมการใช้งานโดรนทุกรุ่นไม่เว้นแม้แต่โดรนเพื่อการเกษตร ซึ่งปัจจุบันยังมีข้อกฎหมายที่คลุมเครือ โดยในบทความนี้ขอละไว้ที่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องข้อกฎหมาย แต่จะขอแนะนำโดรนในมิติของการนำมาใช้งานในภาคการเกษตร เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจจากประสบการณ์จริง และเข้าหาแหล่งจำหน่ายโดรนคุณภาพได้อย่างโดนใจ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
วิวัฒนาการของโดรนเพื่อการเกษตรไทย
โดรน (Drone)
ถูกจัดอยู่ในประเภทอากาศยานไร้คนขับ คนในวงการนิยมเรียกขานกันว่า UAV
(Unmanned Aerial Vehicle) ส่วนบุคคลทั่วไปเข้าใจว่าเป็นเครื่องบินบังคับขนาดเล็กที่ย่อส่วนมาจากเครื่องบินลำใหญ่
โดยจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีนี้ถูกผลิตมาเพื่อใช้กับการทหาร ในงานสอดแนมพื้นที่แวดล้อมข้าศึกไปจนถึงสามารถติดอาวุธเข้าไปถล่มค่ายศัตรูได้
ต่อมามีการพัฒนาเป็นโดรนติดกล้องเพื่อถ่ายภาพในมุมสูง
ตรวจสภาพจราจร เก็บข้อมูลภูมิศาสตร์และ ใช้ในการส่งสินค้ากันได้แล้ว โดย Amazon เป็นเจ้าแรกในโลกที่ทดลองนำโดรนมาใช้ส่งสินค้าภายในเมืองเดียวกัน
แต่ที่น่าตื่นตากว่านั้นก็คือการนำโดรนมาใช้เพื่อการเกษตร หรือที่เรียกกันว่า
"โดรนเพื่อการเกษตร" ที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบัน
และจะกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่เข้ามากระเพื่อมวงการเกษตรโลกในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย
ศาสตราจารย์ เควิน ไฟร์ซ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย รัฐแคนซัส
ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้คาดการณ์ว่า โดรนจะผงาดในภาคการเกษตรมากขึ้นกว่าปัจจุบันอีกหลายเท่าตัว
ยอดขายในอุตสาหกรรมโดรน 80% จะมาจากภาคการเกษตร และวงการเกษตรนั้นปัจจุบันยังต้องฉีดพ่นสารเคมี
อันเกิดผลร้ายต่อสุขภาพของผู้คนมากขึ้น
โดรนจึงถูกนำมาใช้งานในภาคการเกษตรด้วยวัตถุประสงค์หลักดังกล่าวนี้
ทั้งนี้ ในต่างประเทศได้นำโดรนไปใช้ทำเกษตรสักระยะหนึ่งแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการนำมาใช้พ่นปุ๋ย พ่นยา หรือ หว่านเมล็ดพันธุ์พืชก็ดี
ประสิทธิภาพการใช้งานโดรนแทนแรงงานคนในเรื่องนี้นั้นให้ผลคุ้มค่าเกิน 90%
สำหรับในประเทศไทยช่วงปี พ.ศ.2558 -
2560 ที่ผ่านมา ตื่นตัวเรื่องโดรนกันมากมีการนำโดรนมาใช้เพื่อความบันเทิงอย่างแพร่หลาย
ซึ่งต่อมานักวิจัยของไทยได้จับโดรนเหล่านั้นมาเป็นต้นแบบพัฒนาโดรนเพื่อการเกษตร
จนกลายเป็นนวัตกรรมที่เกษตรกรสามารถสัมผัสและนำไปใช้ได้จริง จากการพัฒนาโดรนแบบประกอบเอง
ผลงานวิจัยของนักวิชาการผู้ชำนาญงานภาครัฐฯ ที่ได้ทำการทดลองวิจัยและพัฒนากันขึ้นมาจนได้เป็นโดรนตัวต้นแบบ
ที่มีราคาย่อมเยากว่าโดรนนำเข้าจากต่างประเทศ สนนราคาขายกันอยู่ที่ลำละประมาณ
300,000 – 500,000 บาทไทย หลังจากมีการเผยแพร่นวัตกรรมโดรนเพื่อการเกษตรสู่สาธารณะชน
ได้มีบริษัทเอกชนสนใจนำไปต่อยอดผลิตจำหน่ายภายในประเทศ
เพื่อรองรับการทำเกษตรแบบแม่นยำ กับระบบ Smart Farming ที่จะช่วยลดปัจจัยหรือต้นทุนการผลิตแล้ว
ด้านกรมวิชาการเกษตร โดย นายวีระ สุขประเสริฐ วิศวะกรการเกษตร ชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโดรนตัวต้นแบบที่เพิ่งได้รับรางวัลการันตรีคุณภาพ
"รางวัลชนะเลิศ การประกวด UAV 2017 ด้านการเกษตรโดย วช." ในปีที่ผ่านมาว่า
อากาศยานไร้คนขับพ่นสารพิษ คือ
หุ่นยนต์ชนิดหนึ่ง เป็นเทคโนโลยีเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 โดยสถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม โดยเร่งดำเนินการวิจัยและพัฒนาโดรนเพื่อการเกษตรเป็นเครื่องต้นแบบสำเร็จในปลายปี
พ.ศ.2559 ซึ่งใช้เวลาในการพัฒนา 1 ปี
ระหว่างการทำเครื่องต้นแบบได้มีการนำไปทดสอบในแปลงเกษตร เน้นพัฒนาการใช้ด้านเกษตรอินทรีย์
สามารถฉีดพ่นสารชีวภาพ เช่น บีที ปุ๋ยชีวภาพ น้ำส้มควันไม้
ปุ๋ยและฮอร์โมนพืชต่างๆ ได้ดี มีความง่ายในการควบคุมบังคับ มีคุณสมบัติเด่น ได้แก่
- เป็นโดรนแบบมัลติโรเตอร์
- ควบคุมการทำงานด้วยรีโมทร่วมกับไมโครคอนโทรลเลอร์
32 บิต และไจโร 6 แกน
- ใช้ต้นกำลังจากแบตเตอรี 16,000
มิลิแอมป์
- มีระยะห่างแกนมอเตอร์ใบพัด 90
เซนติเมตร
- บรรจุสารได้ครั้งละ 4 ลิตร
- หน้ากว้างในการฉีดพ่น 5 – 3.0 เมตร
- ความสูงที่เหมาะต่อยอดพืชเป้าหมาย 5
– 2.5 เมตร
- ขนาดกว้าง 100 x ยาว 160 x สูง 50 เซนติเมตร
- น้ำหนักเครื่อง 5 กิโลกรัม
- ราคาระบบ Manual อยู่ที่ 1.5 – 1.7 แสนบาท / ระบบ Auto ประมาณ 2 แสนบาท
รุ่นนี้จะมีสองรูปแบบ
ในการบังคับคือแบบ Manual และ Auto โดยแบบ Manual จะบังคับเหมือนกับการเล่นเกม ส่วนแบบ
Auto ผู้ใช้งานจะต้องมีความรู้เรื่องระบบจึงจะทำงานได้ราบรื่น
โดยในส่วนของเกษตรกร แนะให้ใช้แบบ Manual จะเหมาะสมต่อการทำงานมากกว่า
เพราะควบคุมง่ายๆ ได้ด้วยมือ สำหรับสมรรถภาพของเครื่องนี้จะทำงานเสร็จภายใน 3-4
นาที ต่อไร่ ใน 1 วัน จึงทำงานได้ประมาณ 40- 50 ไร่ต่อวัน
กล่าวสั้นๆ ก็ได้ว่านี่เป็น
“โดรนพ่นสารอินทรีย์รุ่น 50 ไร่” สำหรับหลักในการทำงานก็คือ
เมื่อฉีดพ่นน้ำยาหมดแล้วก็บินกลับมาเติมสารใหม่แบบนี้เวียนวนไป
ละอองการฉีดพ่นด้วยเครื่องโดรน
จะมีความฟุ้งกระจายเลื่อมล้ำและเข้าถึงใต้ใบพืชได้ดีกว่าการใช้เครื่องฉีดพ่นยาทั่วไป
ทั้งยังไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานอีกด้วย
ดร.ไชยวัฒน์ กล่ำพล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมการบินและอวกาศ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในทีมงานนักวิจัยนวัตกรรมเพื่อการเกษตรที่จะนำผลงาน
“โดรน” ที่พัฒนาต่อยอดมาใช้เพื่อการเกษตรมาแสดงโชว์ในงานวันเกษตรแห่งชาติ ปี 2561
ณ มก. บางเขน กล่าวว่า
“โดรนตัวนี้ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจากเฮลิคอปเตอร์บังคับที่นำไปแข่ง
UAU ชิงแชมป์โลกที่ออสเตรเลีย เป็นเครื่องบินทำภารกิจกู้ภัยสำรวจในส่วนที่คนหรือเครื่องจักรเข้าไปไม่ถึง
ต้องบินไปสำรวจหาผู้ประสบภัยไกล 30 กม.
แล้วลงจอดเก็บตัวอย่างเลือดก่อนจะบินกลับมา เป็นตัวต้นแบบของโดรนเพื่อการเกษตร
ส่วนโดรนการเกษตรตัวพ่นยานั้นได้รับการดัดแปลงมาจากตัวต้นแบบ
ต่อยอดโดยความร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า
การทำงานของโดรนพ่นยาจะเป็นเฮลิคอปเตอร์เหมือนกับตัวต้นแบบ
แต่มีการออกแบบใบพัดพิเศษ ปรับรูปร่างพิเศษ
เพื่อให้สามารถบรรทุกได้มากขึ้นโดยใช้แบตเตอรี่เท่าเดิมหรือน้อยลง ด้วยลักษณะใบพัดพิเศษและรูปทรงที่ดัดแปลงใหม่นี้
จึงสามารถพ่นน้ำยาให้กระจายได้ฟุ้งกว่าปกติกับรุ่นขนาดถังบรรจุ 10
ลิตรที่นำมาจัดแสดงโชว์นี้ ต่อไปจะพัฒนาให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับพื้นที่ขนาดใหญ่
บังคับการบินด้วยโปรแกรมอัตโนมัติกำหนดตามทิศทางได้ว่าจะไปทางไหนระยะทางเท่าใด
ด้วยระบบการทำงานที่ไม่ซับซ้อน จึงบังคับง่าย
ซึ่งฝูงบินอากาศยานอัตโนมัติเพื่อภารกิจฝนหลวงและการบินในครั้งนี้
จะเริ่มตั้งแต่การสำรวจดูสุขภาพพืช ทำแผนที่จากภาพถ่ายในอากาศ
เพื่อทำการสำรวจพื้นที่แปลงเกษตรก่อน พอได้ข้อมูลตรงนั้นแล้วก็จะมีส่วนอากาศยานของการให้ปุ๋ยแบบแม่นยำ
เพื่อทำการเกษตรแบบแม่นยำตามรูปแบบ Smart
Farming ซึ่งเป็นโดรนตัวนี้ เป็นตัวให้สารได้อย่างแม่นยำ
โดยอิงจากข้อมูลความสมบูรณ์ของพืช และต่อไปจะเป็นงานต่อยอดที่ Advance มากขึ้น
ตอนนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานในระดับบุคคลทั่วไป ให้สามารถนำไปใช้สำรวจเรื่องโรคแมลง ด้วยราคาที่ไม่สูงมาก หรือประมาณ 2.5 แสนบาท หากท่านใดสนใจจะนำไปใช้งานจริงสามารถติดต่อสอบถามเป็นการส่วนตัวได้ที่ Facebook : Isaaclab.aeroku หรือ โทร.08-4309-1926