ปีนี้ประเทศไทยประสบกับปัญหาภัยแล้งหนักจนเข้าขั้นวิกฤติ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะมีความรุนแรงมากที่สุดในรอบ 40 ปี นับตั้งแต่ปี 2522 เป็นต้นมา โดยกรมอุตุนิยมวิทยาได้มีการคาดการณ์ว่าประเทศไทยต้องเผชิญกับฝนแล้งยาวนานจนถึงเดือน มิ.ย. และปีนี้จะมีปริมาณฝนตามฤดูกาลต่ำกว่าค่าปกติ 3-5 % ในเขตพื้นที่แล้งซ้ำซาก ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ตอนบน นับตั้งแต่ต้นปีช่วงเดือนมกราคม 2563 พบว่าวิกฤตภัยแล้งได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 14 จังหวัด 3,785 หมู่บ้าน มีพื้นที่การเกษตรที่คาดว่าจะเสียหาย 1,635,676 ไร่ และทำลายเศรษฐกิจภาคการเกษตรไม่กว่า 800 ล้านบาท
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สถานการณ์ภัยแล้ง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาค
ปัญหาภัยแล้งที่เกิดในประเทศนั้นไม่ได้เกี่ยวพันกับเกษตรกร
และ SMEs ภาคการเกษตรเพียงอย่างเดียว หากแต่เรื่องของทรัพยากรน้ำเป็นปัจจัยหลัก
ในการดำรงชีวิตและเป็นหัวใจในภาคอุตสาหกรรมของประเทศด้วย ถ้าไม่มีการแก้ไขในระยะยาวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศได้ในระดับที่สร้างความสะเทือนได้เลย
เนื่องจากประเทศไทยเราเป็นประเทศเกษตรกรรม
ประชาชนคนไทยกว่าครึ่งประเทศยึดอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งมีกว่า 9 ล้านครัวเรือนที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรอย่างเป็นทางการ
อันเป็นฐานการใช้จ่ายสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจประเทศ หากภัยแล้งส่งผลสร้างความเสียหายต่อพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตร
ย่อมกระทบต่อรายได้ของกลุ่มคนใช้จ่ายส่วนใหญ่ของประเทศตามมา
นอกจากนี้ยังจะส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตตามปกติทั่วไปด้วย
เมื่อต้องประสบปัญหากับพื้นที่เพาะปลูก
ภัยแล้งเข้ามาทำให้เพาะปลูกพืชพรรณไม่ได้ ไปจนถึงได้ผลผลิตไม่ดี
พื้นที่การเพาะปลูกเสียหาย ย่อมส่งผลต่อห่วงโซ่ปลายทางอย่างผู้บริโภคแน่นอน ดังจะเห็นได้จากช่วงหนึ่งที่รัฐบาลประกาศใช้มาตรการล็อคดาวน์เมือง
เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเกิดปรากฏการณ์ที่ผู้คนแก่กักตุนสินค้าประเภทข้าวสาร อาหารแห้ง
รวมไปถึงไข่ไก่
จนทำให้ไข่ไก่ขาดตลาดท่ามกลางความต้องการแห่ซื้อกักตุนที่ถาโถมเข้ามา
สุดท้ายเกิดการกักตุน ขายโก่งราคา ราคาไข่ไก่ขยับขึ้นตามดีมานด์ความต้องการจากปกติราคาแผงละ
95-110 บาท ก็ขยับขึ้นมาเป็นแผงละ 130-150 บาท
ซึ่งมีผลมาจากความต้องการมากแต่ปริมาณสินค้ามีน้อย
ที่มาช่วยขยายความหมายของผลกระทบจากภาคเกษตรกรสู่เมืองได้เป็นอย่างดี
นอกจากเกษตรกรเป็นกลุ่มผู้ผลิตอาหารแล้ว
เกษตรกรยังเป็นกลุ่มผู้บริโภคหลักในทุกภูมิภาคทั่วประเทศด้วย
เมื่อไหร่ก็ตามที่กำลังการซื้อของกลุ่มเกษตรกรหดหายจากรายได้ที่ลดลง
รายจ่ายที่เกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมสำหรับซื้อปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์
เคมีภัณฑ์ต่างๆ ไปจนถึงเรื่องของสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ
ทั้งที่จำเป็นและฟุ่มเฟือยก็จะลงลงตามไปด้วย
ดังนั้นกลุ่มเกษตรกรจึงจัดว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคหลักของพื้นที่ทั่วประเทศ
เมื่อเกษตรกรลดการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคลง ก็จะทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ลดลงไป
และเม็ดเงินที่เกษตรกรใช้จ่ายในท้องถิ่นนั้นไม่ได้กระจุกอยู่แค่ในชุมชนท้องที่เพียงเท่านั้น
แต่จะกลายเป็นรายได้ของ SMEs ในท้องถิ่นไปด้วย ซึ่งธุรกิจ
SMEs ใดก็ตามที่ต้องอิงรายได้จากกลุ่มคนในภาคเกษตรกรรม ก็จะสูญรายได้จากการขาดสภาพคล่องทางการเงินของกลุ่มเกษตรกรไปโดยปริยาย
เมื่อเม็ดเงินรายได้เกษตรกรลดลงมาก ย่อมเกิดความสั่นคลอนต่อธุรกิจ SMEs ตามมา
ต้นตอภัยแล้งของไทยในปีนี้เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก
ภัยแล้งในไทยเป็นปัญหาสะสมเรื้อรังมายาวนานและประสบกันทุกปี
แต่ยังไม่มีการแก้ไขกันอย่างจริงจังยั่งยืน
ทำให้ไทยต้องเผชิญสภาวะภัยแล้งตามฤดูกาลตลอดมาอันเป็นสาเหตุหลัก
แต่ที่ทำให้เกิดภัยแล้งหนักในปีนี้นั้นเกิดสาเหตุสำคัญคือ
1. ปรากฏการณ์เอลนีโญ : ไทยประสบภัยแล้งอย่างหนักมาตั้งแต่ปี
2562 ทำให้มีฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 10% และฝนทิ้งช่วงอยู่นาน 2 เดือน (มิ.ย.-ก.ค.)
น้ำในเขื่อนมากกว่า 10 แห่ง
มีปริมาณน้อยเข้าขั้นวิกฤตทำให้มีน้ำสำรองในเขื่อนต่างๆ
ที่จะนำมาใช้ในช่วงหน้าแล้งน้อยลง เมื่อปีนี้มีปริมาณฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยไปอีก 3-5
% และฝนทิ้งช่วงนานเหมือนเคย
สถานการณ์น้ำในเขื่อนที่มีน้อยอยู่แล้วจึงเข้าขั้นมีไม่เพียงพอจ่ายแจกในพื้นที่
2. การสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน : ทั้งในลาวและจีน จึงทำให้แม่น้ำโขงในประเทศไทยแห้งลงตั้งแต่อำเภอเชียงคาน และอำเภอปากชม ในจังหวัดเลย
ซึ่งเป็นพื้นที่แรกที่แม่น้ำโขงไหลจากลาวเข้าไทย ไปจนถึงจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ
และนครพนม นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สถานการณ์ของระดับน้ำในแม่น้ำโขงอยู่ในขั้นวิกฤตในปีนี้
3. ปัญหาน้ำทะเลหนุนสูง : โดยเข้ามาทางปากแม่น้ำในช่วงหน้าแล้งของทุกปี ที่ทำให้มีน้ำเค็มเข้าไปในระบบน้ำประปา จนเกิดปัญหาน้ำกร่อย ทำให้รัฐบาลต้องใช้น้ำจืดที่มีในการผลักดันน้ำเค็มออกไป เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวซึ่งเป็นวิธีเดียวที่สามารถทำได้ในขณะนี้
ภัยแล้งและความเสียหายทางเศรษฐกิจ
สถานการณ์ภัยแล้งในปี 2563 นี้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อพืชปลูกกลุ่มที่มีรอบการเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูแล้ง
เช่น ข้าวนาปรัง มันสำปะหลังและอ้อย
ที่กระทบแล้งก่อนเก็บเกี่ยว ทำให้ผลผลิตที่เกษตรกรจะได้รับลดลง
รายได้ของเกษตรกรในไตรมาสแรกจึงหดตัวลงไปตามปริมาณผลผลิตที่ขายได้
นอกจากภัยแล้งจะทำให้ผลผลิตลด เกษตรกรขาดรายได้แล้ว ยังส่งผลต่อเนื่องถึงภาคการส่งออกที่อาจขาดแคลนผลผลิตเพื่อการส่งออก
ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงที่ความต้องการซื้อในตลาดโลกชะลอตัวลงด้วย
ทั้งหากภัยแล้งลากยาวไปจนถึงเดือนมิถุนายน
หรือจนกว่าจะเริ่มมีปริมาณน้ำฝนตามธรรมชาติ เข้ามาเติมปริมาณน้ำในเขื่อนที่แห้งขอดตามการคาดการณ์ของกรมอุตุฯ
ภาพรวมความสูญเสียทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปีนี้จะอยู่ในภาวะวิกฤติมากขึ้น.
แหล่งอ้างอิง :
https://www.bbc.com/thai/thailand-49072092
https://techsauce.co/tech-and-biz/depa-covid-19-smes-thai
http://www.nso.go.th/sites/2014/Pages/Agri/2556/kaset.aspx
https://techsauce.co/tech-and-biz/depa-covid-19-smes-thai