ปัญหาการขาดแคลนน้ำดิบในช่วงฤดูแล้ง (มี.ค.-เม.ย.)
เป็นปัญหาที่เรื้อรังของภาคตะวันออกมานาน แม้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา การบริหารจัดการน้ำมีเพียงพอต่อความต้องการในปัจจุบัน
แต่ในอนาคตยังเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและน่าวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง เกี่ยวกับต้นทุนน้ำไม่เพียงพอต่อภาคอุตสาหกรรม
เมื่อรัฐบาลเร่งผลักดันโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ดึงดูดกลุ่มนักลงทุนทั่วโลกย้ายฐานการผลิตเข้ามาลงทุนภาคอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก และแนวโน้มยังจะมีการเคลื่อนย้ายประชากรนับล้านคนเข้ามาอาศัยในพื้นที่อีอีซี ซึ่งกำลังกลายเป็นสิ่งท้าทายรัฐบาลไทยจะต้องวางแผนรับมือปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ปัจจุบันความต้องการน้ำในโครงการอีอีซี
ทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ประเมินว่า ปริมาณน้ำต้นทุนในอีอีซีอยู่ที่
1,640 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.)ต่อปี ซึ่งปริมาณน้ำส่วนหนึ่งผันน้ำมาจากอ่างเก็บน้ำในพื้นที่
23 แห่ง และจากโครงการผันน้ำอีก 4 โครงการ โดยในจำนวนนี้จัดสรรน้ำเพื่อการใช้ประโยชน์รวมทั้งสิ้น
1,323 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เพื่อภาคการเกษตรประมาณ
31% ที่เหลือเป็นการใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค เพื่อการอุตสาหกรรมและกิจกรรมอื่นๆ
ส่วนการเตรียมน้ำต้นทุนรองรับการพัฒนาอีอีซีในเบื้องต้นระหว่างปี
2560-2570 ทางกรมชลประทานมีการเตรียมการรองรับไว้แล้วจำนวน 16 โครงการ
ประกอบด้วยการพัฒนาอ่างเก็บน้ำและปรับปรุงแหล่งน้ำเดิมที่มีอยู่ให้สามารถกักเก็บปริมาณได้มากขึ้น
ตลอดทั้งปรับปรุงและจัดทำระบบเชื่อมโยงแหล่งน้ำ
และระบบผันน้ำ ดังนั้นเมื่อโครงการทั้งหมดแล้วเสร็จจะทำให้การบริหารจัดหาน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้นรวมทั้งหมด
671 ล้าน ลบ.ม. ทำให้ปริมาณน้ำต้นทุนรวมในอีอีซี ในปี 2570 เพิ่มขึ้นเป็น 2,311 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี หรือจัดสรรได้
1,823 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี
เช่นเดียวกับการประปาส่วนภูมิภาค
(กปภ.) ก็ได้เตรียมแผนการรองรับปัญหาการขาดแคลนน้ำในภาคอุตสาหกรรมแบบยั่งยืนไว้ล่วงหน้าแล้ว
โดยมีโครงการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำประปาเพื่อป้อนให้กับอีอีซี ที่กำลังดำเนินการอีกอย่างน้อย
5 โครงการ ซึ่งจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตน้ำประปาได้รวมทั้งหมดอีก
432,000 ลบ.ม.ต่อวัน และปริมาณน้ำยังมีเพียงพอสำหรับความต้องการของประชากรที่เพิ่มอีกกว่า
2 ล้านคน
ปี 2570 “อีอีซี” ต้องการใช้น้ำ 1,493 ล้าน ลบ.ม./ปี
แม้ว่าอีอีซียังไม่แจ้งเกิดเต็ม 100 % แต่ความต้องการใช้น้ำในอยู่ที่ประมาณ 1,295 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ส่วนใหญ่มีความต้องการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมประมาณ 47% เกษตรชลประทานประมาณ 34% และอุปโภคบริโภคประมาณ 19%
โดยคาดว่าความต้องการใช้น้ำปริมาณภายในปี 2570
จะมีความต้องการรวมทั้งสิ้น 1,493 ล้าน ลบ.ม. และปี 2580 จะมีความต้องการปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 1,692 ล้าน
ลบ.ม.ต่อปี
อย่างไรก็ตามการประมาณการดังกล่าวได้คำนึงถึงปัจจัยการเพิ่มขึ้นของประชากร
นักท่องเที่ยว และความต้องการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวแบบก้าวกระโดด
ขณะที่ความต้องการน้ำเพื่อการเกษตรชลประทานค่อนข้างคงที่ ซึ่งพบว่าทุกวันนี้น้ำยังมีเพียงพอต่อความต้องการใช้และยังมีเพียงพอต่อเนื่องไปจนถึงปี
2570 สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำขาดแคลนในอนาคตเพื่อให้อีอีซีมีน้ำเพียงพอระยะยาว
จำเป็นต้องเร่งดำเนินมาตรการและแนวทางบริหารจัดการน้ำแต่ละด้านแบบบูรณาการ ทั้งอุปสงค์และอุปทานครบวงจรทุกด้าน
เปลี่ยน“น้ำเสีย”เป็น“น้ำดี”คลายวิกฤติน้ำขาดแคลนได้
ถ้าหากพูดถึง “น้ำเสีย”จากภาคอุตสาหกรรมแล้วหลายคนมักถูกสังคมมองเป็นตัวการก่อมลพิษสิ่งแวดล้อม หรือต้นเหตุของการสร้างความเสียหายให้กับแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่หากเปลี่ยน “น้ำเสีย” ให้เป็น “น้ำดี” ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง และนำมาหมุนเวียนใช้ใหม่ก็ไม่มีวันหมด อีกทั้งจะกลายเป็นแหล่งน้ำที่สามารถช่วยบรรเทาปัญหาในช่วงวิกฤตขาดแคลนน้ำให้กับพื้นที่อีอีซีได้เช่นกัน ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งในแผนผังการบริหารจัดการน้ำของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)ที่กำลังดำเนินงานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในอนาคต
ทั้งนี้
อีอีซี เป็นหนึ่งในพื้นที่นำร่องของงานวิจัยการพัฒนาระบบการวางแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่
ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมายของ สทนช. ทั้งด้านสังคม แผนงานการบริหารจัดการน้ำ
โดยโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่
เป็นโครงการวิจัยที่มุ่งเน้นการหามาตรการ หรือแนวทางการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม
และรองรับการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอกับอุตสาหกรรมในอนาคต หลังจากอีอีซีเกิดขึ้นเต็มตัว
หรือแผนกอื่นๆ ในเชิงพื้นที่ที่จะเติบโตขึ้นตามนโยบายของภาครัฐ
โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
หรือลดปริมาณการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมให้ได้อย่างน้อย 15%
การลดการปริมาณใช้น้ำลง 15%
ในภาคอุตสาหกรรมนั้น ยังหมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำขึ้นอย่างน้อย 15%
แม้ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะมีการนำระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน 3 R (Reuse, Reduce and Recycle ที่นำเข้ามาประยุกต์ใช้ในการบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดี
แต่จะทำอย่างไรให้เป็น “ระบบจัดการน้ำอัจฉริยะ” ซึ่งเป็นใหญ่ที่ สทนช. กำลังเร่งดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อหาแนวทางหรือโมเดลที่จะลดการใช้น้ำหรือเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ
และสามารถขยายผลไปยังภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ในอีอีซีต่อไป
ดังนั้นแผนผังระบบบริหารจัดการน้ำอีอีซี
เป็นส่วนหนึ่งของแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดิน,
แผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่อีอีซี เพื่อวางแนวทางการใช้พื้นที่รองรับการพัฒนาการบริการตามความต้องการใช้น้ำอย่างทั่วถึงมีประสิทธิภาพสูงสุด
เพียงพอและได้มาตรฐานสากล
อนึ่ง "น้ำ" เป็นปัจจัยสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม และที่ผ่านมามีการแก้ไขข้อจำจัดของจังหวัดอีอีซีที่มีน้ำใช้ในภาคอุตสาหกรรมไม่เพียงพอ เป็น Pain Point เดิมๆ สู่การจัดการในรูปแบบใหม่ อาทิเช่น ธุรกิจการสนับสนุนด้านน้ำใช้ในภาคอุตสาหกรรม การจัดการน้ำเสีย เทคโนโลยีด้านการจัดการน้ำ ซึ่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถนำไปต่อยอดจากเรื่องนี้ได้