ดีมานด์กลับมา! ล้งทุเรียนเร่งส่งออกหลังจีนปลดล็อคดาวน์
ทุเรียนไทยยังคงเป็นผลไม้ที่ผู้คนต้องการบริโภคตลอดเวลา ด้วยเอกลักษณ์ความโดดเด่นด้านรสชาติ ทว่าหลังจากที่ผู้รับซื้อและส่งออกผลไม้ รู้จักทั่วไปในนามว่า ‘ล้ง’ หรือนัยหนึ่งคือพ่อค้าคนกลางต่างประสบปัญหาด้านตลาดส่งออกช่วงต้นปี เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด-19 ทำให้ผู้นำเข้าในประเทศปลายทาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศจีนต่างยกเลิกออเดอร์ จนทำให้มีการคาดการณ์ว่าทุเรียนอาจจะราคาตกต่ำในปีนี้ และจะล้นตลาดในประเทศเพราะส่งออกได้ยาก ขณะที่ผลผลิตทุเรียนไทยทั่วประเทศในปี 2563 จะมีประมาณ 1.16 ล้านตัน เพิ่มจากปี 2562 ที่มีผลผลิต 1.01 ล้านตัน และภาคตะวันออกโซนจันทบุรี ระยอง ตราด มีผลผลิตทุเรียนเพิ่มขึ้น 21%
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ชาวสวนเฮทุเรียนยังราคาดี ผู้ส่งออกมีการปรับกลยุทธ์
อย่างไรก็ตาม
ล่าสุดล้งทางภาคตะวันออกต่างหันมาแย่งกันรับซื้อผลผลิตทุเรียนส่งออก หลังสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศจีนเริ่มคลี่คลายให้ประชาชนคนจีนสามารถออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยมีตลาดกวางโจวที่เปิดดำเนินการปกติและเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
เป็นเป้าหมายในการส่งทุเรียนไทยเข้าไปจำหน่าย แต่ด้วยระบบการขนส่งของจีนยังติดขัดล่าช้า
จากปัญหาด้านแรงงานกลับมาทำงานได้ไม่เต็มอัตรากำลัง ประกอบกับปัญหาการขนส่งสินค้าเกษตรจากไทยไปจีนทางบก
ที่ต้องผ่านลาวและเวียดนามที่ใช้ระยะเวลาเพียง 3-4 วันถึงประเทศจีนนั้นถูกปิด
จากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ขนส่งไม่ได้ตามปกติ จำต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีการขนส่งทางเรือที่ต้องใช้เวลานาน
7-10 วันแทน
และกำลังซื้อของชาวจีนในปีนี้ตกลงไปตามสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้ส่งออกจึงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การซื้อขายจากซื้อผลผลิตทุเรียนแบบเหมาสวน
เป็นเหมาแบบตีราคากันแบบเดือนต่อเดือนแทน โดยเดือนมีนาคม ราคาเหมาจ่ายหน้าสวนอยู่ที่
130-155 บาทต่อกิโลกรัม และช่วงเดือนเมษายน ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม ราคาเหมาจ่ายหน้าสวนอยู่ที่
115-130 บาทต่อกิโลกรัม
ช่วงต้นเดือนมีนาคมเป็นช่วงที่ผลผลิตทุเรียนออกสู่ตลาดน้อย
ทำให้ทุเรียนไทยไม่พอจำหน่ายในต่างประเทศ ราคาที่เกษตรกรชาวสวนจำหน่ายได้ พันธุ์กระดุมจึงอยู่ที่กิโลกรัมละ
130 บาท พันธุ์หมอนทองกิโลกรัมละ 150-160 บาท จัดเป็นราคาที่แพงที่สุดที่เกษตรกรขายได้เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา
ในวันนี้ราคายังคงดีต่อเนื่องจนมีความห่วงกังวลว่าจะมีการตัดทุเรียนอ่อนมาสวมจำหน่าย
ทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงทุเรียนไทย
‘ล้ง’ รายใหม่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด
นายฉัตรกมล มุ่งพยาบาล
นายกสมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนไทย คาดว่าผลผลิตทุเรียนช่วงเมษายน-พฤษภาคมจะมีประมาณ 3 แสนตัน
ห่วงผลผลิตไม่เพียงพอจากการที่ล้งแย่งกันซื้อ
โดยปีที่ผ่านมามีล้งขึ้นทะเบียนขอการรับรองจากกรมวิชาการเกษตรเพื่อส่งออกมีเพียง 200 โรง
แต่ปีนี้มาขึ้นทะเบียน และผ่านการรับรองแล้ว 442 โรง และอยู่ระหว่างรอตรวจสอบอีก 121 โรง รวม 563 โรง
และกำลังจะมีรายใหม่เพิ่มอีก
การเพิ่มขึ้นของจำนวนล้งยังคงเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูกันต่อไป
ว่าเป็นความต้องการเทียมหรือไม่
แต่กระนั้นก็ยังคงจัดเป็นสัญญาณเชิงบวกที่สามารถขับเคลื่อนการส่งออกทุเรียนไทยไปจีนได้
แม้จะยังคงติดขัดเรื่องการขนส่งบ้างก็ตาม ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)
ยืนยันว่าตลาดปลายทางของจีนยังมีสัญญานความต้องการสินค้าจากไทยโดยเฉพาะทุเรียนและมังคุด
และมีการคาดการณ์จากศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ทำการประเมินผลกระทบจากโควิด-19
กับการส่งออกทุเรียนไทย โดยใช้กรอบผลกระทบเปรียบเทียบกับปี 2546
ที่เกิดโรคซาร์สระบาดในจีนได้คาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกทุเรียนของไทยไปจีนและฮ่องกงใน
2563
จะลดลงเหลือเพียง 3-5
หมื่นตัน จากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลดลง 5 หมื่น – 1 แสนตัน
ไทยเจรจาเปิด 2 ด่านผลไทยไทยสู่จีน
สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (เอ็นบีเอส)
เผยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 1 หดตัว 6.8% ในไตรมาส 1/2563 เมื่อเทียบเป็นรายปี
เป็นการหดตัวรายไตรมาสครั้งแรกในรอบ 28 ปี เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19
ฉุดอุปสงค์ทรุด ซึ่งเป็นการหดตัวรายไตรมาสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2535
เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ภายในประเทศของจีนอย่างรุนแรง โดยมูลค่าจีดีพีในไตรมาส 1 อยู่ที่
20.65 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 2.91 ล้านล้านดอลลาร์ ด้วยตัวเลขที่ลดลงมากเศรษฐกิจจีนจึงยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง
หากรัฐบาลจีนไม่เพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเลขจีดีพีลดลงอีกในไตรมาสสองของปี
จีนจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบบเต็มรูปแบบ
เศรษฐกิจจีนที่หดตัวลงย่อมส่งผลต่อตลาดส่งออกทุเรียนไทยไปจีน
ประชาชนจีนจะลดการบริโภคสิ่งที่ฟุ่มเฟือยลง และจำหน่ายแต่สิ่งของจำเป็น
ดังนั้นแม้ราคาทุเรียนที่เกษตรกรขายได้จะยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี แต่นี่ยังจัดว่าเป็นช่วงต้นฤดูที่มีผลผลิตออกมาเท่านั้น
ยังคงต้องเฝ้าดูต่อไปในระยะยาว
ถึงแม้ว่ารัฐบาลไทยจะเร่งเจรจากับกระทรวงศุลกากรของจีน (GACC)
เพื่อแก้ปัญหารถติดสะสมหน้าด่านโหย่วอี้กวน
เป็นทางยาว 15 กิโลเมตร ทำให้คุณภาพของผลไม้ไทยโดยเฉพาะทุเรียนสุกก่อนถึงมือผู้บริโภค
ซึ่งมีผลมาจากการปิดด่านการค้าชายแดนจีน–เวียดนามหลายแห่ง ทำให้รถสินค้าผลไม้จากเวียดนามต้องเข้าจีนในจุดเดียวกันกับรถสินค้าผลไม้จากไทย
การเดินรถจึงติดขัดล่าช้าจากปกติขึ้นเป็นอีกเท่าตัว
รัฐบาลไทยโดยกรมวิชาการเกษตร ร่วมกับสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ
(มกอช.) ได้เร่งเจรจากับกระทรวงศุลกากรของจีน (GACC) เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน จนจีนยินยอมให้ไทยสามารถนำเข้าผลไม้สู่ประเทศได้ประมาณปลายเดือนเมษายนเพิ่มเติมจากเดิมได้อีก
2 ด่าน คือด่านตงซิงและด่านรถไฟผิงเสียงได้สำเร็จก็ตาม ตลาดปลายทางต่างประเทศก็ยังคงไม่มั่นใจกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19ในไทย
ทำให้อาจมีข้อกำหนดเพิ่มเติมเข้ามาเป็นมาตรการป้องกันควบคุมสินค้า หรือการเดินทางข้ามผ่านแดนในช่วงโควิด-19
นอกเหนือไปจากมาตรฐาน GAP
และ GMP ตามปกติ ทำให้เกิดความยุ่งยากในการจัดการเพื่อรับรองการปลอดเชื้อของสินค้าและบรรจุภัณฑ์
หวั่น GDP จีนตกฉุดการส่งออก
เร่งกระจายช่องทางจำหน่าย
สัญญาณเศรษฐกิจจีนที่หดตัวลง จีดีพีตกกำลังซื้อของคนจีนลดลง
ยังคงน่าเป็นห่วงว่าราคาทุเรียนที่เกษตรกรขายได้ในช่วงที่ผลผลิตออกมามากไปจนถึงปลายฤดูกาลจะยังดีต่อเนื่องอยู่หรือไม่
ประกอบกับทุเรียนเป็นสินค้าที่มีเวลาในการวางจำหน่ายจำกัด รัฐบาลจึงเร่งหามาตรการระบายผลไม้ช่วยชาวสวน
ช่วยเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย โดยการสนับสนุนค่าขนส่ง
มีไปรษณีย์ไทยมาช่วยในการจัดส่งผลไม้ฟรี 200 ตัน ซึ่งอาจปรับเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
นอกจากนี้ยังมีการผลักดันและส่งเสริมให้นำผลไม้สดขึ้นจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมกับผุดโครงการรณรงค์การบริโภคผลไม้ในประเทศ และส่งเสริมให้นำผลไม้มอบเป็นของฝากของขวัญ ไปจนถึงจับมือกับห้างสรรพสินค้าโมเดิร์นเทรดเพื่อนำผลไม้ไทยขึ้นขายในห้าง เป็นการช่วยกระจายผลผลิตช่วยชาวสวนผลไม้ไทยที่ส่งออกได้ไม่เต็มกำลัง
สำหรับทุเรียนที่ขายภายในประเทศอาจมีราคาตกต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
แต่คาดว่าจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ชาวสวนรับได้จนกลายเป็นช่องทางการระบายสินค้าในตลาดภายในประเทศ เพราะทุเรียนเป็นผลไม้ที่คนไทยโปรดปราน เมื่อราคาตกลงในในสภาพที่เศรษฐกิจขาลงการทำตลาดในประเทศจึงทำได้ง่าย
ผู้บริโภคทุกชนชั้นสามารถเข้าถึงได้
เกษตรกรเองก็ต้องทำใจปรับตัวไปตามสถานการณ์
เพราะถึงแม้ว่าถ้าราคาจะตกลงกว่าทุกปีแต่การยอมรับกับสถานการณ์ด้านราคา
โดยไม่เร่งตัดทุเรียนอ่อนไปขายปลอมปนในช่วงที่มีราคาแพง ก็เป็นทางที่ดีกว่าในการช่วยรักษาชื่อเสียงให้ทุเรียนไทย
ภายใต้คำว่า “Made In Thailand” ที่ต่างชาติเชื่อมั่นในคุณภาพ
แหล่งอ้างอิง
https://www.thansettakij.com/content/428725
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/876787
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/876787
https://www.posttoday.com/economy/news/620014
https://siamrath.co.th/n/149689