โอกาสแฟรนไชส์ต่างชาติในเวียดนาม ตลาดนี้มีดีกว่าที่คิด
ธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์ในตลาดเวียดนามยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
จากปัจจัยที่เอื้อต่อการลงทุนหลายประการ อาทิเช่น
รัฐบาลเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศเวียดนามแบบให้ถือครองหุ้นได้ 100%
มีฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่จากรายได้ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
อีกทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาและอายุน้อย มีความนิยมชมชอบต่อผลิตภัณฑ์ตะวันตกเพิ่มขึ้น
กลายเป็นกระแสเสพติดสินค้าแบรนด์ดังจากต่างประเทศ ด้วยเศรษฐกิจที่โตเร็วและเป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรวัยหนุ่มสาวค่อนข้างสูง
โดยประชากรชาวเวียดนาม 65% มีอายุต่ำกว่า 30 ปี และประชากร 37% ของกลุ่มดังกล่าว อาศัยในเขตเมือง และเป็นกลุ่มที่มีรายได้ต่อหัว (GDP per Capita) ประมาณ 2,150 เหรียญสหรัฐต่อปี ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นด้วยเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ตลาดธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์เติบโต
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ตลอดระยะเวลา
30 ปีที่ผ่านมา เวียดนามได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วและถีบตัวเองจากหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก
กลายเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ และในระหว่างปี 2002-2018
มีประชากรมากกว่า 45 ล้านคนถูกปลดจากความยากจน
ขณะที่อัตราความยากจนลดลงอย่างรวดเร็วจากกว่า
70% เป็นต่ำกว่า 6% และ GDP
ต่อหัวเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าอยู่ที่ 2,500
ดอลลาร์สหรัฐในปี 2018 จากรายงานของธนาคารโลก (World Bank) พบว่ากว่า
70% ของประชากรเวียดนามพ้นจากภาวะความยากจนแล้ว และกว่า 14
ล้านคนจัดเป็นชนชั้นกลางที่กำลังมีการขยายตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้น 1.5
ล้านคนในแต่ละปี ซึ่งคาดว่าจะมีสัดส่วนชนชั้นกลางสูงถึง 33%
ของประชากรเวียดนามในปี 2020 ที่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 1,500-2,000
เหรียญสหรัฐต่อปี และเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ
เป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศเวียดนามในอนาคต
พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปช่วยดันแฟรนไชส์ให้เติบโต
ส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เกิดการเติบโตของแบรนด์แฟรนไชส์ต่างๆ
ในเวียดนามก็คือกระแสความเชื่อมั่นที่มีต่อแบรนด์สัญชาติต่างประเทศ ที่เป็นตัวช่วยผลักดันให้แบรนด์แฟรนไชส์ต่างประเทศเป็นที่นิยมมากในประเทศเวียดนาม
เนื่องจากผู้บริโภคชาวเวียดนามเชื่อว่าแบรนด์จากสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย เกาหลีใต้
สิงคโปร์ ไทย ญี่ปุ่น ฮ่องกง แคนาดา มีความน่าเชื่อถือ มีคุณภาพ มีภาพลักษณ์อันดี
จึงทำให้ผู้บริโภคชาวเวียดนามหันมานิยมใช้ผลิตภัณฑ์และบริการจากแบรนด์ต่างประเทศอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ชาวเวียดนามยังมีพฤติกรรมในการบริโภคอาหารนอกบ้านมากขึ้น
วัยรุ่นหนุ่มสาวต่างนิยมนั่งเล่นตามคาเฟ่ร้านเครื่องดื่มที่มีการตกแต่งอย่างสวยงามและมีพนักงานบริการดูดีกันมากขึ้น
จนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มมีการเติบโตและแข่งขันกันมาก
โดยเฉพาะเครื่องดื่มชานมไข่มุกที่ได้รับความนิยมขึ้นแท่นอันดับหนึ่งของเครื่องดื่มที่ชาวเวียดนามหนุ่มสาววัย
15-34 ปีชื่นชอบ
จากการที่ชาวเวียดนามมีรายได้เพิ่มขึ้น
ค่านิยมการทานอาหารนอกบ้านกลายเป็นกิจวัตรที่ทำบ่อยเป็นประจำ จึงส่งผลให้ชาวเวียดนามมีค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น
ทำให้เกิดการลงทุนในตลาดอาหารและเครื่องดื่มจากนักลงทุนต่างชาติในเวียดนามเพิ่มขึ้นหลายแบรนด์
ข้อมูลจากสมาคมแฟรนไชส์นานาชาติพบว่า
ปัจจุบันเวียดนามมีการขยายตัวของธุรกิจแฟรนไชส์อยู่ในอันดับที่ 9 จาก 12
อันดับของตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุดในธุรกิจดังกล่าว
โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม (The Ministry of Industry and Trade : MOIT) ให้ข้อมูลว่า
ในปี 2561 มีแบรนด์จากต่างประเทศกว่า 213 แบรนด์
ที่มีการจดทะเบียนธุรกิจแฟรนไชส์ในเวียดนามในหลายประเภทธุรกิจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ร้านสะดวกซื้อ เบเกอรี ร้านกาแฟ
ร้านอาหารร้านขายยา และธุรกิจบริการด้านความงาม ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 50
ของธุรกิจแฟรนไชส์อยู่ในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งครอบคลุมร้านอาหาร
ร้าน Fast food เบเกอรีและเครื่องดื่มด้วย
กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม
ประมาณการว่าค่าใช้จ่ายในการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มของคนเวียดนาม คิดเป็น 15%
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และคาดว่าเวียดนามจะอยู่ 1
ใน 3 อันดับของภูมิภาคอาเซียน ที่มีอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มมากที่สุดในปี
2020 และ Business Monitor International (BMI) ยังชี้ให้เห็นว่าภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งมากขึ้นในเอเชียสูงถึง
16.1%
ผู้บริโภคชาวเวียดนามที่นิยมออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน
นิยมบริโภคอาหารตะวันตกถึง 35% เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากจำนวนแฟรนไชส์ต่างชาติที่เพิ่มขึ้น
โดยสัดส่วนของอาหารตะวันตกในตลาดมีการเติบโตต่อเนื่อง
เนื่องจากมีการปรับปรุงเมนูที่ตอบสนองรสนิยมของคนเวียดนามมากกว่าเน้นเพียงเมนูดั้งเดิม
ซึ่งผู้บริโภคพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ
ชานมไข่มุก
เครื่องดื่มยอดฮิตคนเวียดนาม
จากข้อมูลของสมาคมผู้ค้าปลีกเวียดนาม
พบว่าผู้บริโภค 77% ในชนบทต้องการลองผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
และผู้บริโภคชาวเวียดนามจำนวน 95% รู้สึกชื่นชอบสินค้าที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย
และกล้าใช้จ่ายให้กับเครื่องดื่มชานมไข่มุกแก้วโปรดที่มีราคาถึง 2.5 เหรียญสหรัฐ
ธุรกิจชานมไข่มุกกลายเป็นกระแสที่มาแรงในเวียดนาม
โดยเริ่มเปิดดำเนินการในเวียดนามมาตั้งแต่ปี 2002
จนถึงกระแสความนิยมร้านชานมไข่มุกในเวียดนามนั้นจะคล้ายกับกระแสการเปิดร้านกาแฟในอดีต
มีการตกแต่งอย่างสวยงามและมีพนักงานบริการบุคลิกดีคอยให้บริการ มีการสร้างความแตกต่างด้วยเครื่องดื่มที่เอกลักษณ์ของแต่ละร้าน
เช่น เมื่อไปที่ร้าน Gong
Cha ต้องสั่งฟองนม ในขณะเดียวกันเมื่อไปที่ Koi The ต้องดื่มมัคคิอาโต (Macchiato) หรือชานมไข่มุกสีทอง
(Golden bubblemilk tea) ร้าน Royal Tea ต้องสั่งชานมครีมชีส และ The Alley กับเครื่องดื่ม Brown
sugar deerioca เป็นต้น
ด้วยการแข่งขันอันดุเดือดในธุรกิจนี้
จึงมีการขยายฐานลูกค้าจากวัยรุ่นไปสู่กลุ่มพนักงานออฟฟิศและลูกค้าวัยกลางคน โดยเน้นภาพลักษณ์ทันสมัยมีลูกเล่นแตกต่างกันออกไป
เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้สามารถดึงดูดผู้บริโภคได้ ตลาดชานมไข่มุกในเวียดนามจึงมีการแข่งขันสูงทั้งในฝั่งของแบรนด์ท้องถิ่น
แบรนด์ต่างประเทศ และแบบ Street
Food ดังนั้นแบรนด์ที่มีการพัฒนาแผนธุรกิจมาอย่างดีและมีผลิตภัณฑ์น่าดึงดูดใจ
จึงจะสามารถมีโอกาสอยู่รอดและเจริญเติบโตได้ในตลาดเวียดนาม
สำหรับความนิยมด้านอาหารและเครื่องดื่มของเวียดนามนั้นพบว่า
36% ของผู้บริโภคชาวเวียดนาม นิยมทานอาหารในร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full-service restaurants) และนิยมทานร้านอาหารจานด่วน (Quick service restaurants) 36% ส่วนร้านอาหารข้างทางแบบ Street food ได้รับความนิยม
11% นอกจากนี้จะเป็นร้านประเภทอื่นๆ ได้แก่ ร้านสะดวกซื้อ โรงอาหาร บาร์ คลับ
และโรงแรม ซึ่งผู้บริโภคชาวเวียดนามใช้จ่ายประมาณ 440
ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือนในการรับประทานอาหารนอกบ้าน หรือมากกว่า 35
เหรียญสหรัฐต่อคน โดยมีผู้บริโภคชาวเวียดนามที่ทานอาหารนอกบ้าน 35%
นิยมทานอาหารตะวันตกที่มีการปรับเมนูให้สอดคล้องกับรสนิยมความต้องการของชาวเวียดนาม
นอกจากนี้การเลือกทำเลที่ตั้งยังมีผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าร้านของชาวเวียดนามสูงถึง
65% ซึ่งมีผลมาจากสภาพความแออัดของการจราจร ฝุ่น ควัน ต่างๆ ที่เกิดจากจำนวนประชากรในเขตเมืองเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ผู้บริโภคชาวเวียดนามยังเปิดกว้างสำหรับการสั่งอาหารออนไลน์ด้วย
แฟรนไชส์กับโอกาสการลงทุน
นอกจากแฟรนไชส์ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในตลาดเวียดนามแล้ว
สินค้าและบริการที่ไม่ใช่อาหาร ก็มีการเติบโตเพิ่มขึ้นในเวียดนามเช่นเดียวกัน โดยแฟรนไชส์ร้านค้าปลีกเฉพาะอย่าง
เช่น ร้านโทรศัพท์มือถือ, ร้านผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, สปาและผลิตภัณฑ์ด้านความสวยความงาม
และผลิตภัณฑ์สาหรับสัตว์เลี้ยง, ธุรกิจบริการด้านการศึกษา, ธุรกิจความบันเทิง,
การดูแลสุขภาพ, การดูแลความงาม, ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเด็ก
และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Lifestyle
ก็มีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
แม้แต่เครื่องสำอางแฟรนไชส์ก็ยังได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มหญิงสาวชาวเวียดนาม
ที่ต้องการใช้บริการความงามเพิ่มขึ้นถึง 30% ต่อปี นอกจากนี้ชาวเวียดนามยังมีความต้องการแฟรนไชส์ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการในชีวิตประจำวัน
เช่น การค้าปลีก ร้านสะดวกซื้ออย่างเช่น Circle K, Family Mart, B’s mart, Shop&G อีกเป็นจำนวนมากด้วย ที่กำลังเติบโตในประเทศเวียดนาม
ด้วยนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมธุรกิจค้าปลีก การขยายตัวของเมือง การขยายตัวของชนชั้นกลาง และสัดส่วนประชากรในวัยหนุ่มสาว ทำให้กลุ่มธุรกิจค้าปลีกต่างชาติมองเห็นโอกาสในเวียดนาม ทำให้เกิดการลงทุนขยายธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อแบรนด์ต่างๆ จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคชาวเวียดนามจึงมีโอกาสทางเลือกที่หลากหลายภายใต้ข้อกำหนดบทกฎหมายของรัฐบาลเวียดนาม ที่ใช้ Decree No. 35/2006/ND-CP (ซึ่งถูกแก้ไขด้วย Decree 120/2011/ND-CP ในเดือนมกราคมปี 2016 and Decree No.8/2018/ND-CP ในเดือนมกราคม 2018) เป็นกรอบแนวทางสำหรับการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ภายใต้กฎระเบียบดังกล่าว ได้อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถทำธุรกิจแฟรนไชส์ได้ทั้งแบบเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ (Franchisor) และแบบผู้รับสิทธิ์ดำเนินธุรกิจ (Franchisee) ในเวียดนาม.
แหล่งอ้างอิง : สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์ ศูนย์สนับสนุนธุรกิจใน AEC https://thestandard.co/