แม้จะไม่สามารถกล่าวได้ว่า ‘อินเดีย’ มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด เนื่องจากมีปัจจัยข้อจำกัดหลายประการ เช่น การเป็นประเทศขนาดใหญ่ที่ยังคงมีความแตกต่างในการบริหารภายในของแต่ละรัฐ และการดำเนินนโยบายของรัฐยังไม่อาจเป็นเนื้อเดียวกันกับรัฐบาลได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธบทบาทและความสำคัญของอินเดียในปัจจุบันที่ทวีคูณในเชิงยุทธศาสตร์ทั้งด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างมากภายใต้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี Narendra Modi ที่มีความเข้มแข็งในเชิงบริหาร นักลงทุนต่างชาติจึงเริ่มหันมามองโอกาสในอินเดียมากยิ่งขึ้น
ในปี 2562 อินเดียมีแนวนโยบายจะเป็นแหล่งผลิตอาหารของโลก การจัดสรรงบประมาณเพื่อภาคการเกษตรและเศรษฐกิจชนบท จึงสะท้อนการต้องการพัฒนาศักยภาพการอินเดียให้เป็นแหล่งผลิตและส่งออกอาหารสดและอาหารแปรรูปที่สำคัญของโลกในอนาคต ซึ่งก็คล้ายๆ ประเทศไทยที่หวังจะเป็น ‘ครัวของโลก’จึงน่าจะเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยในการดำเนินธุรกิจร่วมกับอินเดีย ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกอาหารและสินค้าการเกษตร สินค้าอาหารสดและอาหารแปรรูป
ทั้งนี้ ตลอดปี 2561 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ภาคธุรกิจไทยสนใจประเทศอินเดียเป็นพิเศษ จนมีธุรกิจรายใหม่ ๆ ของไทยเกิดขึ้นในอินเดีย จากรายงานของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ที่มีการแนะนำธุรกิจไทยในช่วงปี 2561 ที่กำลังไปได้สวยในการทำธุรกิจในอินเดียที่ประกอบ
นอกเหนือจากธุรกิจของภาคธุรกิจไทยตามที่ให้ข้อมูลในข้างต้นแล้ว ยังมีเอกชนไทยจำนวนหนึ่งที่อยู่ระหว่างเจรจา/ ขออนุมัติ/ รอการเปิดกิจการในอินเดีย อาทิ สายการบินนกแอร์อยู่ระหว่างการวางแผนเปิดเส้นทางบินแรกในอินเดียในไม่ช้า , บริษัท ซีพี บีแอนด์เอฟ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มในเครือเจริญโภคภัณฑ์ อยู่ระหว่างการจดทะเบียนบริษัท CP B&F India จำกัดในอินเดีย คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในมกราคม 2562 และได้วางแผนระยะยาวเพื่อทำธุรกิจร้านค้าปลีกคล้ายร้าน 7-11 ในอินเดียต่อไป
ปัจจุบันมีบริษัทไทยในอินเดียทั้งสิ้น 30 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ และมีศักยภาพสูง อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ,กลุ่ม SCG,ดัชมิลล์, กลุ่มสหพัฒน์ ,ดุสิตธานี ,ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ ที่นับเป็นแนวหน้านักลงทุนไทยที่ไปได้ดิบได้ดีในตลาดผู้บริโภคอินเดีย