“คาเฟอีน” เป็นสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ซึ่งอยู่ในกลุ่มของสารประกอบที่เรียกว่าเมทิลแซนไทน์ พบได้ในพืชกว่า 60
ชนิดทั่วโลกรวมทั้งเมล็ดกาแฟ ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งในสมอง
มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง
มีผลทางบวกคือทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลดความง่วงได้
โดยปกติกาแฟถือเป็นเครื่องดื่มที่ใช้กระตุ้นการตื่นตัวของคนทั่วไป
โดยอาหารและเครื่องดื่มทั่วไปหลายอย่างมีคาเฟอีนตามธรรมชาติ เช่น กาแฟ ชา (ทั้งชาดำและชาเขียว) และช็อกโกแลต นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มคาเฟอีนลงในเครื่องดื่มต่างๆ ได้ เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลม ทั้งชาและกาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั่วโลก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
คาเฟอีนมีผลต่อร่างกายและหัวใจอย่างไร
?
คาเฟอีนมีผลทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
ประโยชน์หลักๆ ของคาเฟอีนที่มี คือเมื่อร่างกายเหนื่อยต้องการการตื่นตัว
คาเฟอีนจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการตื่นตัว ลดความเหนื่อยล้า และเพิ่มสมาธิ
อย่างไรก็ตามอาจมีผลข้างเคียงที่เป็นลบสำหรับบางคน เนื่องจากคาเฟอีนส่งผลกระทบต่อทุกคนแตกต่างกัน
และบางคนอาจไวต่อคาเฟอีนมากกว่าคนทั่วไป
คาเฟอีนส่งผลต่อการทำงานของเอมไซม์ในหัวใจ
รวมถึงสามารถกระตุ้นการหลั่งสารอะดรีนาลีน ทำให้หัวใจบีบตัวแรงเร็วขึ้น
ดังนั้นในบางครั้งผู้ที่ทานคาเฟอีนจึงรู้สึกกระวนกระวายใจ หงุดหงิด ใจสั่น
มีอัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้น
จากการศึกษาส่วนใหญ่ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างโรคหัวใจกับการดื่มกาแฟ
บางการศึกษาเห็นประโยชน์เล็กน้อย เมื่อพิจารณาถึงการบริโภคกาแฟในระดับปานกลาง
ปัญหาอื่นที่พบได้บ่อย เช่น การรบกวนการนอนหลับ
ถ้าดื่มคาเฟอีนใกล้เวลาเข้านอนมากเกินไป
แต่หากในกรณีดื่มกาแฟมากๆ เช่นมากกว่า
3 แก้วต่อวัน หรือมากกว่า 250 มก. สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้หลายชนิด
เช่น หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ, หัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว หรือ Atrial Fibrillation ในบางรายอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะได้
แต่มักพบในรายที่ได้รับคาเฟอีนในปริมาณที่สูงมาก เช่นมากกว่า 10 แก้วต่อวัน
ดังนั้นถ้ามีอาการใจสั่น หายใจไม่อิ่ม รู้สึกหัวใจสะดุด หัวใจเต้นเร็ว
แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
สำหรับผลกระทบของคาเฟอีนต่อความดันโลหิตอาจเกิดขึ้นได้ชั่วคราว
ในกรณีคนที่ไม่ได้บริโภคคาเฟอีนเป็นประจำ อาจมีความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
แต่เป็นแค่ช่วงเวลานั้นใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงเท่านั้น
อย่างไรก็ตามผลกระทบต่อความดันโลหิตจะพบได้น้อยกว่าในคนที่บริโภคคาเฟอีนเป็นประจำ
ดื่มกาแฟ หรือรับคาเฟอีนแค่ไหนที่มากเกินไป
?
ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ปริมาณคาเฟอีนสูงสุด 400 มก. ต่อวัน และไม่เกิน 200 มก. ในการดื่มครั้งเดียว
เนื่องจากแหล่งอาหารและเครื่องดื่มของคาเฟอีนอาจแตกต่างกันไปปริมาณคาเฟอีนก็เช่นกัน
ตัวอย่างเช่นกาแฟหนึ่งถ้วยมักจะมีคาเฟอีนมากกว่าชา 1 ถ้วย
คาเฟอีนในกาแฟชงโดยปกติจะมีปริมาณคาเฟอีนประมาณอยู่ 95–200 มก. ต่อถ้วย
กาแฟสำเร็จรูปมีปริมาณประมาณ 27–173 มก. ต่อถ้วย ชาดำมีประมาณ 40–120 มก. ต่อถ้วย
ชาเขียวประมาณ 25-29 มก. ต่อถ้วย
ทั้งนี้สำหรับชา ปริมาณคาเฟอีนขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่ชง
ระยะเวลาในการชง และคุณภาพของชาอีกด้วย การดื่มคาเฟอีนในระดับที่สูงเกินไป
อาจทำให้เกิดภาวะกังวล กระสับกระส่าย ตื่นกลัวง่าย ความดันโลหิตสูง
กรดในกระเพาะหลั่งเพิ่มขึ้น ภาวะลำไส้ปั่นป่วน และนอนไม่หลับ
อย่างไรก็ดีอาการดังกล่าวสามารถหายไป เมื่อระดับคาเฟอีนในร่างกายลดลง
และยังไม่มีรายงานการเกิดผลกระทบในระยะยาว
การดื่มคาเฟอีนในระดับปานกลาง
บางครั้งการดื่มคาเฟอีนอาจเพิ่มขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไป
การดื่มคาเฟอีนในปริมาณที่พอเหมาะต่อวัน สามารถช่วยให้รู้สึกดี และเพื่อป้องกันผลข้างเคียงของการดื่มคาเฟอีนที่มากเกินไปต่อวัน
สามารถลดปริมาณคาเฟอีนต่อวันได้ดังนี้ เปลี่ยนกาแฟปกติเป็น Decaf และชาดำ Decaf เปลี่ยนชาปกติเป็นชาสมุนไพรที่ปราศจากคาเฟอีน เช่น เปปเปอร์มินต์ คาโมไมล์
เบอร์รี่
คำแนะนำจากแพทย์
คาเฟอีนไม่สามารถทดแทนการออกกำลังกาย
การนอนหลับ หรือการรับประทานให้เหมาะสมมีประโยชน์ ที่ส่งผลต่อสุขภาพหัวใจที่ดีได้
คาเฟอีนในปริมาณปานกลางควรเป็นประโยชน์สำหรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ผู้บริโภคโปรดจำไว้ว่าขีดจำกัดที่แนะนำคือ
400 มก. ต่อวัน เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่เป็นลบ
สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าเราทุกคนแตกต่างกันและพวกเราบางคนมีความไวต่อคาเฟอีนมากกว่าคนอื่นๆ
ความไวเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดอาการเชิงลบหลายประการดังกล่าวข้างต้น
หากคุณพบว่าตัวเองมีอาการเหล่านี้ ให้จดบันทึกปริมาณคาเฟอีนที่คุณบริโภคและค่อยๆ
ลดปริมาณลงทีละน้อยในการดื่มคาเฟอีนแต่ละครั้ง
คาเฟอีนยังคงอยู่ในระบบร่างกายประมาณหกชั่วโมงหลังจากการดื่มถ้วยสุดท้าย
การนอนหลับอย่างมีคุณภาพมีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพและการป้องกันโรค
ระวังว่าการดื่มกาแฟในช่วงบ่ายหรือเย็นจะทำให้คุณนอนหลับช้ากว่าปกติ
แหล่งอ้างอิง : โรงพยาบาลสุขุมวิท