สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้า จัดทำผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการ SME ภาคการค้าและบริการ จำนวน 1,400 วิสาหกิจทั่วประเทศ เรื่อง “การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีผลต่อกิจการอย่างไร” พบว่าผู้ประกอบการมีความเห็นว่ามีผลกระทบ ร้อยละ 85.25 ไม่มีผลกระทบ ร้อยละ 14.75 โดยกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ ให้เหตุผลว่าปกติจ่ายค่าจ้างมากกว่าค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว หรือไม่มีการจ้างงานหรือทำกันเองภายในครอบครัว
ไม่พลาดทุกข้อมูล
ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการที่มีความเห็นว่ามีหากมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำธุรกิจจะได้รับผลกระทบในด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 62.61 กำไรลดลง ร้อยละ 10.91 ยอดขายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 10.59 และได้แรงงานที่มีประสิทธิภาพร้อยละ
1.13
อย่างไรก็ตาม มีธุรกิจที่ตอบว่าจะสามารถแบกรับต้นทุนได้
ร้อยละ 79.55 และไม่สามารถแบกรับต้นทุนได้เลย ร้อยละ 20.45
สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีส่วนใหญ่พร้อมที่จะปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากนี้ ผู้ประกอบการมีความเห็นด้วยว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน
ซึ่งมีผู้ตอบว่าช่วยได้มาก ร้อยละ 65.3 ช่วยได้น้อย ร้อยละ 22.3
และไม่สามารถช่วยได้เลย ร้อยละ 12.3
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการต่อสถานการณ์ทางธุรกิจโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี
คือค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีค่าเกินค่าฐานที่ 100
โดยเฉพาะเอสเอ็มอีในกลุ่มค้าปลีกสถานีบริการน้ำมัน กิจกรรมอสังหาริมทรัพย์
บริการด้านสุขภาพและความงาม การท่องเที่ยว ด้านการ ขนส่งมวลชน โรงแรม/เกสต์เฮาส์/บังกะโล
และร้านอาหาร/ภัตตาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
จากกรณีมีวันหยุดยาว สนับสนุนให้คนเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น
สำหรับทิศทางตลาดแรงงานในปีนี้
มีประเด็นต้องติดตาม ทั้งผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง
ส่งผลกระทบต่อแรงงานในภาคเกษตร ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน
ที่ส่งผลต่อภาคส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย โดยในด้านการส่งออก
กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น
อินเทอร์เน็ตโมเด็ม แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ส่งข้อมูลต่าง ๆ ชิ้นส่วนยานยนต์
และ วัสดุก่อสร้าง
ส่วนสาขาการท่องเที่ยว
ต้องจับตาผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและสหรัฐอเมริกาที่ลดลง
และแรงงานส่วนใหญ่จะเป็นการจ้างงานแบบชั่วคราว หากธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ
จะส่งผลถึงแรงงานในกลุ่มนี้ด้วย
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แนะนำให้ภาคธุรกิจต้องพัฒนาแรงงานให้สอดรับกับแนวโน้มของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันมีการนำนวัตกรรมมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตมากขึ้น ต้องใช้การบริหารจัดการที่จำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นและต้องใช้ทักษะที่หลากหลาย
ทั้งนี้
การพัฒนาแรงงานให้มีทักษะเป็นที่ต้องการของตลาด จึงต้องเร่งดำเนินการ โดย
1.การเพิ่มทักษะแรงงาน (up-skill) ให้มีทักษะใหม่ ๆ เช่น
การพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความยืดหยุ่นเพื่อสามารถรับมือกับงานที่เร่งด่วนหรือมีภาวะกดดันได้
(flexible workforce for critical
tasks)
การพัฒนาทักษะด้านการใช้เทคโนโลยีรูปแบบใหม่ เป็นต้น
2.การปรับเปลี่ยนทักษะแรงงาน (re-skill) เช่น การเสริมสร้างทักษะด้านอื่น ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม
ภายใต้แนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong
learning)
โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยทำงานให้สามารถพัฒนาตนเองเพื่อรองรับกรณีที่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนอาชีพในอนาคต
ถือเป็นอีกปีที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายด้าน
มีหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของแรงงาน
เพื่อรับมือการแข่งขันที่รุนแรงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกธุรกิจสมัยใหม่