หากพูดถึงแบรนด์ ZENN.TH ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสัญชาติไทย วัยรุ่นไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าที่ควร
ตรงข้ามกับกลุ่มวัยใสชาวจีนแล้วกำลังกลายเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เพราะเข้าไปบุกเบิกทำการตลาดในจีนทั้งออฟไลน์และออนไลน์
เพียงแค่ 5 เดือนที่ผ่านมาสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไปแล้วกว่า 600,000 กว่าชิ้น
หลายคนต่างสงสัยว่าแบรนด์โนเนมสัญชาติไทยใช้กลยุทธ์การตลาดอย่างไร ถึงสามารถเข้าถึงหัวใจของผู้บริโภครุ่นใหม่ชาวจีนในเพียงแค่ครึ่งปี ซึ่งก็ไม่ใช่การตลาดลึกลับอะไรเพียงแต่ “ชูความเป็นไทย”ส่งลิปสติก “กลิ่นทุเรียน” ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคชาวจีนที่ชื่นชอบผลไม้ทุเรียนไทยอยู่แล้ว เป็นหัวหอกเจาะตลาดจนประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
แบรนด์ ZENN.TH ถือเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางน้องใหม่ที่กำลังมาแรง
มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดตามภาวะเศรษฐกิจของจีนที่เติบโตสวนกระแสโรคโควิด เมื่อเที่ยบกับเศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ
ซึ่งสินค้าประเภทเครื่องสำอางและความสวยความงามแบรนด์ดังสัญชาติไทย เป็นที่ต้องการและขายดีเป็นพิเศษในตลาดจีนช่วง
10 ปีที่ผ่านมา อาทิ แป้งทาหน้าผสมรองพื้น, ครีมทามือ
บำรุงเล็บมือ, ยาแต้มสิว, ครีมกันแดด,
สเปรย์กันยุง, อายไลเนอร์, มาสคาร่า, ดินสอเขียนคิ้ว, มาร์กหน้า
(overnight mask ), สบู่สมุนไพร เป็นต้น
อย่างไรก็ตามกว่าแบรนด์สินค้าดังของไทยสามารถเข้าไปอยู่หัวใจของผู้บริโภคชาวจีนได้นั้น
ต้องใช้เวลานานหลายปีพอสมควร แต่เมื่อเทียบกับแบรนด์ ZENN.TH ที่เข้าใจชาวจีนชื่นชอบผลิตภัณฑ์สินค้าจากไทย เพียงส่ง
"ลิปกลอส" คอลเลคชั่นใหม่ เจาะกลุ่มวัยรุ่นจีนด้วย
"สีสันโทนสดใส" และกลิ่นพิเศษชูจุดเด่นกลิ่นอายของความเป็นไทย เช่น
"กลิ่นทุเรียน" สามารถทะลุทะลวงตลาดได้รวดเร็วกว่ารุ่นพี่เสียอีก
7 ขั้นบันไดผลักดันแบรนด์สู่ความสำเร็จในตลาดจีน
แบรนด์ ZENN.TH ที่เข้าไปเจาะตลาดจีนที่ว่าแข็งแกร่งมากที่สุดในโลก
กลับประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างก้าวกระโดดนั้น มาจาก 7 ขั้นบันไดการทำตลาดสมัยใหม่
ที่สอดคล้องกับกระแสตลาดยุคใหม่ ดังนี้
1. นำเทรนด์ ชิงผู้นำก่อน : ทางแบรนด์มีการวิเคราะห์และดูแนวโน้มเทรนด์ในตลาดจีน ว่าสินค้าตัวไหนที่มีโอกาสเป็นไปได้
ก็เอาสินค้าตัวที่ทางแบรนด์มีตรงตามที่วิเคราะห์ไปลุยตลาดก่อน ยึดหลัก
"นำเทรนด์ก่อน ชิงพื้นที่ เป็นผู้นำก่อน และให้คนอื่นเป็นผู้ตาม"
ทำให้มีคู่แข่งในตลาดน้อย โอกาสประสบความสำเร็จสูง
2. สินค้าราคาจับต้องได้ทุกคนเข้าถึง : กลุ่มลูกค้าเป็นวัยรุ่น
วัยทำงาน จึงต้องปรับราคาลดลงมาจากสินค้าตัวก่อนๆ เนื่องจากต้องการให้สินค้าสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างมากขึ้น
ตามที่มีการวาง brand possition ว่า
"ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่าย"
3. เลือกช่องทางตลาดตรงกลุ่มลูกค้า : การสื่อสารด้านการตลาด
เลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสมและตรงกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะโปรโมทสินค้าผ่านออฟไลน์ยิงตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
และโปรโมทผ่านทุกช่องออนไลฟ์ ไม่ว่าจะเป็น weibo, tiktok,
Xiaohongshu รวมทั้งไอดอลเน็ต รีวิว สินค้าและขายสินค้าแบบสดๆ ผ่าน Tmall
4. ปรับคอนเทนต์ให้เข้ากับทุกเทศกาล : ทุกคอนเซปต์ทำตลาดต้องมีการวางแผนงานเกี่ยวกับการจัดโปรโมชั่น ทำเนื้อหา content ให้เหมาะสมกับเทศกาลต่างๆ ของจีน ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่นิยมช้อปในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อซื้อสินค้าเป็นของขวัญและใช้ส่วนตัว
5. ชูจุดเด่นของผลิตภัณฑ์และแบรนด์ : การสร้างการรับรู้
brand awearness "ชูจุดเด่นของผลิตภัณฑ์และแบรนด์"
ให้กับแบรนด์ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น
"ยกความเป็นไทยเป็นจุดขาย" การเลือกใส่กลิ่นทุเรียนลงไปเป็นลูกเล่น
โดยนำไปใช้เป็นกลิ่นของสีในลิปกลอสคอลเลคชั่นใหม่
คอลเลคชั่นดังกล่าวยังมีกลิ่นอื่นๆ
ที่อาจไม่เคยเห็นมาก่อนและอาจไม่เคยคิดว่าจะมีได้ เช่น วอลนัทพีช เกาลัด เป็นต้น
6. คุณภาพของสินค้าต้องดีมีความยั่งยืน : ปัจจุบันการบริโภคสินค้าของคนจีนไม่ได้มองแค่เรื่องของการตลาด
การที่แบรนด์นี้ทำลิปกลอสกลิ่นทุเรียนนั้นแรกๆ ใครได้ยินว่ามีลิปกลิ่นทุเรียนก็ต้องพากันสนใจ
แต่การที่จะทำให้แบรนด์อยู่ยาวนานและมีลูกค้าเพิ่มจำนวนมากขึ้น
ไม่ใช่แค่ในช่วงทำการตลาด หรือโหมโฆษณา เท่านั้น "คุณภาพสินค้าต้องดี"
ด้วย
7. ช่องทางการขายครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย : แบรนด์จะประสบความสำเร็จในตลาดจีน
ต้องทำการตลาด 2 ช่องทางให้สอดคล้องกัน ช่องทางออฟไลน์ ไม่ว่าวางขายร้านเครื่องสำอางทุกแห่ง
และช่องทางออนไลน์ ไม่ใช่แค่เจาะจีนอย่างเดียวรวมถึงไต้หวันด้วย เนื่องจากไต้หวันมีร้าน
Watsons มากถึง 300 สาขา
ยุคการตลาดสมัยใหม่ไม่ว่าจะเข้าไปเจาะตลาดจีนแผ่นดินใหญ่
ไต้หวัน ตลาดอาเซียน หรือตลาดทั่วโลก สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ประกอบการต้องคำนึง
คือกลุ่มเป้าหมายชัดเจน ความต้องการของลูกค้า สินค้าโดนใจผู้บริโภค และต้องทำตลาดครบวงจรทั้งออนไลน์และออฟไลน์
หนทางสู่ความสำเร็จไม่ไกลเกินเอื้อมถึง