ความเนื้อหอมของ ‘เวียดนาม’ ในประเด็นด้านการค้าและการลงทุน
จากปัจจัยแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งจากเดิมที่ขนาดเศรษฐกิจเวียดนามในปี
2562 จากข้อมูล World Economic Outlook, October 2019 ซึ่งเทียบได้กับราว
44 % ของเศรษฐกิจไทย ขณะที่ปี 2563 เศรษฐกิจเวียดนามที่คาดว่าจะขยายตัวแค่
2.91% แต่เมื่อวิเคราะห์จากสถานการณ์ระบาดของโควิด 19
ตัวเลขการเติบโตดังกล่าวนั้นกลับสวนทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ติดลบ และยิ่งไปกว่านั้นมีการประเมินว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะกลับมาขยายตัวได้ร้อยละ
6.5-7 ในปี 2564 เลยทีเดียว
นายฟัน จิ้ ทัน เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย กล่าวว่า แม้ว่าปี 2563 เศรษฐกิจทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 แต่เวียดนามเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงบวก (GDP) มีการเติบโตถึง 2.91% ในปี 2020 เนื่องจากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ตั้งแต่ช่วงแรก โดยอัตราการเติบโตของ GDP เวียดนามในช่วงปี 2559-2563 เฉลี่ยอยู่ที่ 5.9% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในโลก ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจของเวียดนามในปี 2564 สดใส โดยองค์กรการเงินระหว่างประเทศ อาทิ World Bank, International Monetary Fund, Asian Development Bank คาดการณ์ไว้ว่า GDP จะเติบโตอยู่ที่ 6.5-7.0%
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สำหรับปัจจัยที่เอื้อให้มีการเข้ามาลงทุนจำนวนมากเพราะเวียดนามมีเสถียรภาพทางการเมืองสูง
อาทิ
1. มีแรงงานจำนวนมาก
และด้วยขนาดของตลาดในประเทศที่มีประชากรสูงถึง 100 ล้านคน
2. เวียดนามยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถเชื่อมโยงกับตลาดอาเซียน
จีน และอีกหลายประเทศทั่วโลก
3. เวียดนามเป็นเป้าหมายของนักลงทุนกว่า
132 ประเทศ ที่สนใจเข้ามาลงทุน
โดยปัจจุบันนักลงทุนชาวไทยเข้ามาในประเทศเวียดนามเวียดนามถึง
603 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 13 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 400 พันล้านบาท จัดอยู่ที่ลำดับ
9 ที่มีเข้ามายังเวียดนาม
อย่างไรก็ตามในอีก 5 ปี 2564-2568
ข้างหน้ารัฐบาลเวียดนามได้วางแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม
ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ 10 ปี
การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจฉบับใหม่ปี 2564-2573
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาแห่งชาติเวียดนาม ที่คาดว่าจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศให้มีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
รวมถึงการเดินหน้าพัฒนาความสัมพันธ์แบบทวิภาคีกับประเทศต่างๆ
รวมถึงประเทศไทยที่สามารถนำไปสู่การสร้างโอกาสใหม่ๆ
สำหรับนักลงทุนไทยที่จะเข้ามาในประเทศเวียดนามมากขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า
ไทยมองการลงทุนเวียดนามอย่างไร
นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า
เวียดนามยังเป็นจุดหมายปลายทางของการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงนักลงทุนไทยเพราะเป็นตลาดที่ใหญ่และเติบโตต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันก็มีทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
ดังนั้นความสำเร็จของการลงทุนของไทยในเวียดนามในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของนโยบายการลงทุนในปัจจุบัน
และการสนับสนุนของรัฐบาลเวียดนาม การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม รวมถึงการเติบโตของหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจของเวียดนาม
ความสามารถของนักธุรกิจไทยและนักลงทุนในเวียดนามในการร่วมมือกัน ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตและการอยู่รอดในอนาคต
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาธุรกิจไทย-เวียดนาม
กล่าวว่า ประเทศเวียดนามมีประชากรในวัยทำงานจำนวนมาก และมีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่ำ
ทำให้ตลาดเวียดนามมีกำลังซื้อสูง อีกทั้งการส่งออกสินค้ามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
โดยในปีที่ผ่านมามีการส่งออกรวมมูลค่าถึง 281,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้ดุลการค้า 19,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นผลจากการทำความตกลงด้านการค้ากับประเทศต่างๆ
ทั่วโลกรวม 17 ฉบับ
ขณะเดียวกันเวียดนามให้สิทธิพิเศษในด้านภาษีและสิทธิประโยชน์อื่นๆ
เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจการค้าและการลงทุน (Ease of doing business) ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการลงทุน
การก่อสร้างสาธารณูปโภค และอื่นๆ
นับเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่ส่งผลให้เกิดการลงทุนในประเทศเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
นางสมหะทัย พานิชชีวะ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. อมตะวีเอ็น (AMATAV) กล่าวในมุมมองของผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมในเวียดนามว่า
อมตะเชื่อในการเติบโตของเวียดนาม นั่นคือเหตุผลที่อมตะอยู่ในเวียดนามมานานกว่า 26
ปี และถือว่าประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ
โดยปัจจุบันอมตะมีการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอยู่ทั้งทางตอนเหนือและตอนใต้ของเวียดนาม
มีทั้งหมด 6 โครงการรวมพื้นที่พัฒนา
2,500 เฮกตาร์หรือ 15,625 ไร่
ด้วยเงินลงทุนประมาณ 840 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 27,200
ล้านบาท ในขณะที่รัฐบาลเวียดนามอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนาสังคม–เศรษฐกิจ
อมตะวีเอ็นก็ได้วางเป้าหมายในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนามสู่การเป็น
“เมืองอัจฉริยะ” ซึ่งแนวคิดเมืองอัจฉริยะครอบคลุมทั้งด้านพลังงาน ชุมชน การผลิต การขนส่งและคมนาคม
การศึกษา เทคโนโลยี และการจัดการสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ
ซึ่งมีความสอดรับกับแผนพัฒนาประเทศของเวียดนามอีกด้วย
เห็นได้ว่าทั้งหน่วยงานรัฐ สถาบันเอกชนที่เข้มแข็ง และตัวแทนเอกชนที่เป็นแนวหน้าไปลงทุนในเวียดนาม ต่างมีความเห็นที่น่าสนใจกับการลงทุนในเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาสทางเศรษฐกิจ ภายใต้การที่เอเชียจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลกยุคใหม่หลังโควิด 19 รวมทั้งประเด็นการลดข้อจำกัดในการลงทุนต่างชาติ และการจูงใจนักลงทุน ซึ่งเรื่องนี้หากสามารถปรับแผนให้โครงการ EEC ของไทย เป็นศูนย์กลางในการกระจายการลงทุนในภูมิภาคได้ ก็จะยิ่งเกิดเป็นประโยชน์คู่ขนาดของสองชาติได้ด้วย