นักลงทุนไทยไม่ควรมองข้ามเข้าไปแสวงหาโอกาสลงทุนใน
มาเลเซีย ซึ่งเป็น 1 ในกลุ่มสมาชิกอาเซียน 10 ชาติ ที่ตลอดหลายปีที่ผ่านเศรษฐกิจประเทศนี้มีอัตราการเติบโตอย่างสม่ำเสมอเพราะได้รับอานิสงส์รัฐบาลวางยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศระยะยาว
5 ปี เพื่อผลักดันโครงการอภิมหาโปรเจ็ตต่างๆบรรลุตามนโยบายที่วางไว้ โดยมีเป้าหมายนำประเทศที่กำลังพัฒนาก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วภายในปี
2563
ยิ่งการที่นายมหาเธร์ โมฮัมหมัด ได้กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกสมัยยิ่งปลุกเศรษฐกิจมาเลเซียกลับมาคึกคักเป็นพิเศษเพราะนายมหาเธร์เดินหน้าขับเคลื่อนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศด้วยนโยบายใหม่ๆให้สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน จึงเป็นโอกาสที่รัฐบาลไทยจะได้สานสัมพันธ์กับรัฐบาลมาเลเซียครอบคลุมทุกด้าน ทั้งด้านการค้า การลงทุน และท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยปูทางให้กลุ่มนักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในมาเลเซียสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย-มาเลเซีย
นอกจากจะทลายกำแพงขว้างกันระหว่างสองประเทศแล้วทั้งสองฝ่ายยังบรรลุข้อตกเบื้องต้นนำร่องเปิดด่านศุลากากรสะเดา
จ.สงขลา-บูกิตกายูฮิตัม ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย.
- 16 ก.ย.2562 จากเดิมเปิดเวลา 05.00 น. และปิดเวลา 23.00 น. (เวลาท้องถิ่นไทย) หากไม่มีอุปสรรคใดๆทั้งรัฐบาลไทยและมาเลเซียจะพิจารณาเปิดด่านการค้าอย่างถาวรเพื่ออำนวยความสะดวกสนเดินทางระหว่างประเทศ
อีกทั้งยังส่งผลดีต่อ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว จะส่งเสริมกระตุ้นเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศได้ตลอดทั้งปี
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร ระบุว่า ข้อดีของการเปิดพรมแดนตลอด 24 ชั่วโมงจะอำนวยความสะดวกย่นระยะเวลาขนย้ายสินค้าส่งถึงผู้บริโภคได้ทันกำหนดเวลา
โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่เน่าเสียง่าย ซึ่งสินค้าที่ขนส่งผ่านด่านสะเดา-บูกิตกายูฮิตัม
ไม่เพียงแต่เป็นสินค้าที่ส่งตรงไปยังมาเลเซีย แต่ยังส่งไปยังท่าเรือปีนัง ก่อนส่งต่อไปยังประเทศที่สาม
และยังทำผู้ประกอบการลดต้นทุนขนส่งสามารถลำเลียงสินค้าไปถึงคู่ค้าทันกำหนด สร้างความเชื่อถือให้แก่ผู้ประกอบการและความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างชาติ
ดังนั้นการที่มาเลเซียและไทยเปิดโลกสมัยใหม่ให้กว้างขึ้นเช่นนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ขณะเดียวกันยังเกื้อหนุนนักลงทุนต่างชาติร่วมทั้งนักลงทุนชาวไทยที่จะมองหาลู่ทางเข้าไปลงทุนในมาเลเซียซึ่งปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพ
กำลังซื้อสูง ที่สำคัญกำลังยกฐานะจากประเทศกำลังพัฒนาก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วภายในปี
2563 หากมองในด้านสังคม มาเลเซียยังเป็นสังคมคนรุ่นใหม่ เป็นวัยทำงาน
มีการศึกษาสูง เมื่อเทียบกับไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยมาเลเซียมีอัตราการเพิ่มของประชากรเฉลี่ยร้อยละ
3.3 ต่อปี คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ได้แก่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองเคลัง
และยะโฮบาร์รู
ค้าปลีก ไทย –มาเลเซีย โตไม่หยุด
ในปี 2561การค้าระหว่ามาเลเซีย-ไทย
มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท โดยปีนี้มีแนวโน้มพุ่งทะลุเป็น 2 เท่าเพราะทั้งสองประเทศเปิดด่านศุลกากรตลอด
24 ชั่วโมง โดยการค้า การลงทุน
และท่องเที่ยวของมาเลเซียรุ่งเรืองในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาคือฝั่งตะวันตกที่มีชายแดนติดกับไทย(ตะวันออกติดเกาะเบอร์เนียว)
ทำให้ฝั่งตะวันตะวันตกกลายเป็นยุทธศาสตร์ทางด้านเศรษฐกิจสำคัญที่ดึงดูดนักธุรกิจเข้าไปลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเกิดใหม่มากมาย
แต่ธุรกิจดาวเด่นยังคงเป็น ค้าปลีกค้าส่ง ที่มีแนวโน้มเติบโตไม่หยุดตอบสนองความต้องการของคนยุคใหม่
อาทิเช่น
1.พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปซึ่งนับเป็นโอกาสในการขยายการลงทุน
2.กำลังซื้อของประชากรที่เพิ่มขึ้นและการขยายตัวของความเป็นเมือง
3.การขยายตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยวของภูมิภาคอาเซียน
ตลาดค้าส่งค้าปลีกของมาเลเซียจึงเป็นที่สนใจของกลุ่มนักลงทุนเพราะอัตราการขยายตัวของความเป็นเมืองไม่หยุดซึ่งมาเลเซียมีอัตราการขยายตัวของความเป็นเมืองร้อยละ 75.37 มีประชากรรวม 32.4 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยทำงานอายุตั้งแต่ 25-54 ปี ทำให้สาขาบริการค้าส่งค้าปลีกเพิ่มสัดส่วนร้อยละ 11.5 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ก่อให้การแข่งขันแย่งส่วนแบ่งตลาดค้าปลีก ค้าส่ง รุนแรง
ลงทุนไทยในมาเลเซียยังไปได้สวย
ทั้งนี้ การที่นักธุรกิจไทยจะเข้าไปลงทุนในมาเลเซียมีแนวโน้มประสบความเสร็จได้นั้น
นายกวิศพงษ์ สิริธนนนท์สกุล ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา แนะนำว่า นักธุรกิจไทยควรลงทุนร่วมกับพันธมิตรนักธุรกิจมาเลเซียจะมีภาษีดีกว่า
โดยเฉพาะลงทุนธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง หรือ ขายแฟรนไชส์ให้ชาวมาเลเซีย ซึ่งเป็นธุรกิจที่คนไทยมีความชำนาญ
แต่ยังมีอีกธุรกิจเกิดใหม่ที่น่าเข้าไปลงทุน เช่น ร้านอาหาร
ที่ชาวมาเลเซียนิยมรับประทานอาหารไทย
ซึ่งการเข้าไปลงทุนในมาเลเซียมีโอกาดีทีเดียวเพราะไทย-มาเลเซีย มีการค้าระหว่างกันขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี
โดยสินค้าที่มาเลเซียยังต้องนำเข้าจากไทย เช่น พืชผลทางการเกษตร ผลไม้ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรไฟฟ้าและชิ้นส่วน รวมทั้งแผงวงจรไฟฟ้า แต่สิ่งที่สำคัญที่นักลงทุนต้องการเข้าไปลงทุนในมาเลเซียต้องรู้จักคือ กฎระเบียบการทำธุรกิจให้ครอบคลุมทุกด้าน
นายกวิศพงษ์ กล่าวอีกว่า การเข้าไปประกอบธุรกิจในมาเลเซียนั้นไม่ยุ่งยาก
ผู้ลงทุนต้องตัดสินใจว่าจะลงทุนเองทั้งหมด หรือจะร่วมลงทุนกับท้องถิ่น จากนั้นจัดทำรายงานข้อเสนอโครงการพร้อมหลักฐานการลงทุนมายื่นต่อ
Malaysian Industrial Development
Authority (MIDA) เพื่อความเห็นชอบและขอรับการส่งเสริมการลงทุน
โดยจะใช้เวลาพิจารณาไม่เกิน 3 เดือน หากได้รับการอนุมัติ ต้องยื่นแบบฟอร์ม A 13 เพื่อจดทะเบียนชื่อบริษัทที่ The Companies Commission of Malaysia (CCM) ซึ่งจะใช้เวลาพิจารณาอีกประมาณ 12 วัน หลังผ่านการอนุมัติจาก CCM ผู้ลงทุนจะต้องจัดทำตราบริษัท
และส่งเอกสารให้ CCM ออกใบรับรอง เพื่อนำมาจดทะเบียนกับ Income Tax Department, Employment Provident Fund และ Social Security
Organization ต่อไป
ด้านการทดลองเปิดด่านศุลกากรสะเดา-กิตกายูฮิตัม ตลอด 24 ชั่วโมงนำร่อง 3 เดือนแรก หากสัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลไทยจะร่วมมือกับมาเลเซียเปิดด่านอย่างถาวร เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ท่องเที่ยว และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศอยู่ดี มั่งคั่ง อนาคตรัฐบาลไทยเตรียมผลักดันโมเดล ด่านไทย-มาเลเซีย ไปทดลองเปิดด่านกับประเทศเพื่อนบ้าน เมียนมา กัมพูชา และสปป.ลาว ต่อไป