Medical & Health Tourism โอกาสท่องเที่ยวไทยหลังจบโควิด-19
หลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
คลี่คลายลง ประเทศไทยสามารถเปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางมาท่องเที่ยวได้ปกติ
โดยสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่านักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่พร้อมออกเดินทางมาเที่ยวไทย
คือกลุ่มเจเนอเรชั่นวาย ( Gen Y ) ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงานที่มีอายุระหว่าง 23-40 ปี กลุ่มนี้มีความเป็นตัวของตัวเองสูง
ชอบคิดนอกกรอบ ชอบนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่
ผู้ประกอบการและบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยจะต้อง Transform หรือปรับตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงภายใต้ “ความปกติใหม่” หรือ New Normal จากเดิมส่วนใหญ่นิยมเดินทางท่องเที่ยวเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดจากการทำงาน แต่จะหันมาท่องเที่ยวควบคู่กับ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” หรือ “Medical Tourism”
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จะกลายเป็นเทรนด์ใหม่มาแรงที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวให้พร้อมต้อนรับศักราชการท่องเที่ยวใหม่
ที่กลุ่มนักท่องเที่ยวคำนึงให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยมากขึ้น
โดยสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการนับจากนี้ คือข้อมูลสำคัญๆ ด้านความสะอาดและสุขอนามัยพื้นฐานของแต่ละประเทศ
เพื่อช่วยให้เกิดความมั่นใจและลดความเสี่ยงจากการระบาดของโรคได้
โดยแนวโน้มการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เช่นเดิมนักท่องเที่ยวมักเดินทางออกมาเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ หรือกรุ๊ปทัวร์
แต่หลังจากนี้ไปการเดินทางท่องเที่ยวจะเปลี่ยนมาเป็นกรุ๊ปขนาดเล็กมากขึ้น หรือเดินทางด้วยตัวเองแบบอิสระ
(Free Individual Traveler- หรือกลุ่ม FIT) ส่วนระยะการพำนักของนักท่องเที่ยวก็อาจปรับเปลี่ยน จากการพำนักในระยะยาวเป็นระยะสั้น
เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส
แต่กรุ๊ปทัวร์ขนาดเล็กท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
กลับเป็นกลุ่มมีศักยภาพและมีมูลค่าทางการตลาดสูงมากกว่ามาเป็นกรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่ จากข้อของ
Global Wellness Institute ระบุว่านับตั้งแต่ปี 2015
ตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยมีมูลค่าพุ่งสูงถึง 200,000
ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโต 7% ต่อปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 3 ประการ คือ
1. การขยายตัวของชนชั้นกลางทั่วโลกที่มีระดับรายได้ที่สูงขึ้น
ซึ่งให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวมากขึ้นด้วย
2.
ผู้บริโภคทั่วโลกหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพของตนเองมากขึ้น
ซึ่งถูกกระตุ้นจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable
Diseases, NCDs) และความเครียดจากการทำงาน
3. เทรนด์การท่องเที่ยวที่นิยมการสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่
ในแหล่งท่องเที่ยวมากกว่าการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม ซึ่งสะท้อนเห็นถึงแนวโน้มนักท่องเที่ยวหันมาให้ความสำคัญกับตลาดท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ
ซึ่งจะกลายเป็นตลาดหลักของธุรกิจท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเติบโตสูงถึง 16%
ต่อปีนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป
ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบ่งออก 2 ประเภท
1. การท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion Tourism) : เป็นลักษณะเดินทางเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
ที่ตัวเองชอบ แล้วจึงจัดสรรเวลาส่วนหนึ่งเพื่อมาทำกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพอย่างถูกวิธี
ตามหลักวิชาการและมีมาตรฐาน เช่น การนวด/อบ/ประคบสมุนไพร การบริการสุวคนธบำบัด (Aroma
Therapy) และวารีบำบัด (Water Therapy) การท่องเที่ยวในลักษณะนี้ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายของนักท่องเที่ยวรู้สึกผ่อนคลาย
ส่งผลให้มีสุขภาพจิตที่ดี เป็นการเพิ่มพูนพละกำลังให้สมบูรณ์แข็งแรง
ปรับความสมดุลให้กับร่างกาย
2. การท่องเที่ยวเชิงบำบัดรักษาสุขภาพ
(Heath Healing Tourism) : เป็นการเดินทางท่องเที่ยวโดยแบ่งเวลาส่วนหนึ่งในช่วงเที่ยวไปรับบริการบำบัดรักษาสุขภาพการรักษาพยาบาล
และการฟื้นฟูสุขภาพในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่มีคุณภาพมาตรฐาน เช่น
การตรวจร่างกาย การรักษาโรคต่างๆ การทำฟัน และการรักษาสุขภาพฟัน
การผ่าตัดเสริมความงาม การผ่าตัดแปลงเพศ ฯลฯ
การท่องเที่ยวเชิงบำบัดรักษาสุขภาพจึงมุ่งประโยชน์ต่อการรักษาฟื้นฟูสุขภาพนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ
หรืออาจจะเป็นการพักฟื้นหลังจากต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนานๆ
การที่ผู้ป่วยได้ทำกายภาพบำบัดหรือพักฟื้นในสถานที่ที่ไม่ใช่โรงพยาบาล แต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวท่ามกลางธรรมชาติที่มีอากาศที่บริสุทธิ์
ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพและสภาพจิตใจของผู้ป่วยอย่างเต็มที่
หลังจบโควิด จีนยังสนใจเที่ยวไทยอันดับ
1 เน้นเที่ยวอิสระ
จากผลสำรวจ The China Thailand Travel Sentiment จัดทำโดย C9 Hotelworks ได้สำรวจความคิดเห็นชาวจีนในช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ภายหลังเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยพบว่า 71% นั้นยังอยากมาท่องเที่ยวไทย
โดยกรุงเทพมหานครยังคงเป็นเมืองสำคัญที่ชาวจีนนิยมมาท่องเที่ยว ขณะที่จังหวัดปลายทาง
คือ ภูเก็ต เชียงใหม่ เกาะสมุย และพัทยา
ผลสำรวจดังกล่าวยังสอบถามชาวจีนว่าในปี
2020 มีแผนออกต่างประเทศหรือไม่ 53% ให้ความเห็นว่าต้องการออกไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ
และมุมมองของชาวจีนในผลสำรวจนี้ยังมองว่าโอกาสที่จะได้ออกมาท่องเที่ยว คือในช่วงเดือนตุลาคม
รองลงมาคือเดือนธันวาคม
ขณะเดียวกันชาวจีน 83%
ยังมีแผนที่ต้องการเที่ยวแบบอิสระ ไม่พึ่งพาบริษัทนำเที่ยว
ซึ่งแตกต่างกับในช่วงที่ผ่านมามักจะเห็นชาวจีนส่วนใหญ่มากับบริษัทท่องเที่ยว
และมาเป็นแบบกลุ่มใหญ่ๆ และอีก 72% ของผลสำรวจนั้นชื่นชอบการจองโรงแรมเองผ่านออนไลน์มากถึง
72% สำหรับช่องทางสำคัญในการจองที่พักต่างๆ ในไทยของชาวจีน คือ Ctrip รองลงมาคือ Fliggy และเว็บไซต์ของโรงแรมเอง
ด้านค่าใช้จ่ายต่อการท่องเที่ยว 1 ครั้งของชาวจีน 50% นั้นอยู่ที่ประมาณ 10,000 หยวน หรือประมาณ 45,800 บาท รองลงมาอยู่ที่ 5,000 หยวน และผู้ที่ตอบแบบสำรวจครั้งนี้เป็นพนักงานบริษัทเกินกว่า 60% และอายุของผู้สำรวจส่วนใหญ่อยู่ที่ 20-40 ปี นักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นนักท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้กับไทยมากที่สุด คิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งมีสัดส่วนเกือบๆ 12% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ( GDP)
การฟื้นตัวอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอาจเป็นจุดเริ่มจากกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่สามารถดึงดูดต่างชาติมาท่องเที่ยวในเมืองไทย โดยใช้จุดแข็งเรื่องการแพทย์ที่ได้รับยกย่องไปทั่วโลก จากผลงานควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ของสาธารณสุขไทยได้อย่างดีเยี่ยม