นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยตกต่ำสุดขีด
ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเหลือ 0 คนในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี (เมษายน-มิถุนายน) เนื่องจากติดหล่มของโควิด-19
จากเดิมที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศ (ททท.) มุ่งหมายผลักดันสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปีนี้ไว้ที่ประมาณ
1.2 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 14-16
ล้านคน สร้างรายได้อยู่ที่ประมาณ 6.4-7.4 แสนล้านบาท
ส่วนไทยเที่ยวไทยจะอยู่ที่ประมาณ 80-100 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 4.8-6.1
แสนล้านบาท
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ภาพรวมของการท่องเที่ยวไทยตลอดทั้งปี 2563 มีแนวโน้มติดลบไม่ต่ำกว่า 50% หลังจากสถิติการท่องเที่ยวในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ พบว่ารายได้หายไปมากกว่า 50%
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้สัญญาณท่องเที่ยวเริ่มมีทิศทางดีขึ้น
หลังรัฐบาลปลดล็อกระยะที่ 4 หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ส่งผลทำให้บรรยากาศท่องเที่ยวไทยดีขึ้น
ทำให้ภาครัฐเดินหน้าเตรียมฟื้นฟูท่องเที่ยวเต็มพิกัดทั้งออก “แพ็กเกจกำลังใจ”
ให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)
จำนวน 1.2 ล้านคนเที่ยวฟรี และแพกเกจ “เที่ยวปันสุข” แจกบัตรกำนัลดิจิทัลมูลค่า
3 พันบาทให้คนไทยไปเที่ยว
ตลอดทั้งการเปิดท่องเที่ยวแบบจับคู่เดินทางระหว่างประเทศที่ควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือที่เรียกว่า Travel Bubble เช่น การจับคู่กับจีน โดยคาดว่าจะเริ่มได้ปลายปีนี้ เพื่อจะดูดเงินนักท่องเที่ยวต่างชาติมากระตุ้นเศรษฐกิจอีกทาง
ท่องเที่ยวเกิดการเปลี่ยนแปลง 4 รูปแบบใหม่
กระนั้นตราบใดที่ทั่วโลกยังผลิตวัคซีนยับยั้งโควิด-19
ไม่สำเร็จผล การฟื้นฟูธุรกิจควบคู่การควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเดินทางคู่ขนานกัน
ภายใต้ปรากฎการณ์การท่องเที่ยวใหม่ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงชัดเจนใน 4 เทรนด์ของโลก
ประกอบไปด้วย
1. Travel Bubble ที่ปัจจุบันมีการจับกลุ่มกันแล้วในหลายทวีป
กลุ่มแรก คือ ประเทศแถบทะเลบอลติกในยุโรปตะวันออก คือ ลัตเวีย, ลิทัวเนีย และเอสโตเนีย ส่วนสิงคโปร์เป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียน
ที่จับคู่ระหว่างสิงคโปร์กับบางมณฑลของในจีน คือ เซี่ยงไฮ้, กวางตุ้ง,
เจ้อเจียง, เทียนจิน, เจียงซู
และฉงชิ่ง โดยเปิดให้เดินทางระหว่างกันไปแล้วเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา
2. Hygiene & Healthy Badge ซึ่งจะเป็นการสร้างความปลอดภัยด้านสุขอนามัยในการบริการของสถานประกอบการ
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว การออกมาตรฐาน SHA ของไทย รวมถึงการให้บริการของโรงแรมที่เน้นการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ
โดยใช้มาตรการเดียวกับที่โรงพยาบาลใช้ เพื่อให้มั่นใจว่าไร้ไวรัส
3. Robot & Reconciliation Service ซึ่งจะเห็นว่าธุรกิจจะหันมาใช้เทคโนโลยี
เพื่อลดการสัมผัสและรักษาระยะห่างในการให้บริการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้แอปพลิเคชัน
“ไทยชนะ” ในการเช็กอิน-เช็กเอาต์ในจุดบริการต่างๆ
การนำระบบ Passenger Reconciliation System (PRS) มาใช้การเช็กอิน
สแกนพาสปอร์ต สแกนตั๋วเครื่องบินของแอร์เอเชีย เพื่อลดการสัมผัส การนำหุ่นยนต์มาเสิร์ฟอาหารในประเทศเกาหลี
การใช้หุ่นยนต์ทำความสะอาด เป็นต้น
4. Premium Tourism โดยหลังโควิดคนจะต้องการทัวร์คุณภาพ และการบริการระดับพรีเมียมมากกว่า Mass Tourism เพราะคนกังวลเรื่องสุขอนามัย การเดินทางท่องเที่ยวในระยะแรกจะเป็นการเดินทางเที่ยวด้วยตัวเอง
หรือเอฟไอทีแพ็กเกจ มากกว่ากรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่
ส่งสัญญาณเที่ยวไทยเริ่มฟื้นยอดจองพักพุ่งกว่า
60%
เมื่อสถานการณ์ไทยเข้าสู่สภาวะปกติ
ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมีการวางแผนเดินทางออกไปท่องเที่ยวนอกประเทศ
โดยเฉพาะประเทศไทยยังเป็นจุดมุ่งหมายอันดับต้นๆ ของกลุ่มนักท่องเที่ยว
สอดคล้องกับจากข้อมูลการสำรวจของบริษัท Airbnb ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม- 6 มิถุนายน 2563 ระบุว่า มียอดจองการท่องเที่ยวในภายในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง
13% เมื่อเปรียบเทียบเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา
แม้การเดินทางจะหยุดชะงักไปช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
แต่จากข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่า ผู้คนยังอยากที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวเช่นเคย
และคาดว่าการท่องเที่ยวภายในในประเทศกำลังฟื้นตัวและเติบโตสูงในเวลาอันใกล้นี้
โดยจุดหมายปลายทางยอดนิยมได้แก่ กรุงเทพฯ,
หัวหิน, พัทยา, เชียงใหม่ และเพชรบุรี
ข้อมูลใหม่ล่าสุดตอกย้ำทำให้เชื่อมั่นมากขึ้นว่านักเดินทางต่างมองหาประสบการณ์ท้องถิ่นที่เข้าถึงได้ง่าย
มีความเป็นเอกลักษณ์ และราคาไม่แพงเกินเอื้อม
โดยการท่องเที่ยวจะเข้ามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการท่องเที่ยวในประเทศได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะจุดหมายปลายทางที่ใช้เวลาเดินทางในระยะสั้น
นอกจากนี้การท่องเที่ยวในประเทศแถบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็มีการขยายตัว
เห็นได้จากยอดจองที่เพิ่มขึ้นเมื่อเดือนที่ผ่านมา ทั้งในออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, เกาหลีใต้
และญี่ปุ่น โดยในเดือนพฤษภาคมมีการจองที่พักผ่าน Airbnb มากกว่า
60% ส่วนใหญ่เป็นจุดหมายไกลจากตัวเมืองหลวงของไทย
ต่างประเทศชูไทยเป็นแลนด์มาร์คด้านการแพทย์
เมื่อเทรนด์การเดินทางได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
นักท่องเที่ยวนิยมการเดินทางกลุ่มเล็กลง และเลือกเดินทางกับคนคุ้นเคย
เลือกเดินทางระยะสั้นมากกว่า
ทำให้การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
เนื่องจากนักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับสุขอนามัย ด้วยการเลือกโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร
เป็นต้น หรือการเดินทางด้วยการเว้นระยะห่างทางสังคม โดยทุกอย่างต้องผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย
เป็นการเริ่มต้นในรูปแบบวิถีใหม่ (New Normal)
เช่นเดียวกับการตลาดด้านท่องเที่ยวของไทยหลังโควิด-19
นั้นจะเปลี่ยนไป แต่ไทยได้เปรียบตรงที่มีภาพลักษณ์ที่ดี
ทั้งในเรื่องการดูแลด้านสุขอนามัย มีการรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี
รวมไปถึงในช่วงที่ผ่านมากับการส่งเสริมกลุ่มนักท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ หรือ เฮลท์
แอนด์ เวลเนสส์ อยู่แล้ว ทำให้
ททท.ปรับแผนการทำตลาดมุ่งเน้นไปยังกลุ่มตลาดที่เจาะจงมากขึ้น
เพราะปัญหาหลักหลังจากโควิด-19 คือ
การท่องเที่ยวที่ไม่เน้นจำนวนคน ซึ่งคงต้องเลือกกลุ่มตลาดที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง
เพราะเป็นยุคที่จะต้องจำกัดคน และการให้บริการที่ดีขึ้นมากกว่าการแข่งขันกันเรื่องราคา
ในเบื้องต้นจะมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มเจนวายและกลุ่มมิลเลนเนียลส์
ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อต่อทริปสูงกว่าปกติ
และคนกลุ่มนี้น่าจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่จะเข้ามาท่องเที่ยว
หลังมาตรการปลดล็อคระยะที่ 4
จะอนุญาติให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไทย
รวมทั้งสายการบินที่จะกลับมาบินอีกครั้ง
ประกอบกับมาตรการที่ยังต้องระวังเรื่องความปลอดภัยด้านการกลับมาแพร่ระบาดซ้ำของโควิด-19
ซึ่งตอกย้ำว่าการทำตลาดกลุ่มใหญ่ (mass) ที่มีคนจำนวนมากจึงเกิดขึ้นค่อนข้างยากในปีนี้