จากรายงานวิเคราะห์ตลาด VDO Streaming แบบ Over-the-Top TV ( OTT) หรือสื่อที่เผยแพร่เนื้อหาข้อมูลในรูปแบบข้อความ ภาพ หรือเสียงผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต ของสำนักนโยบายและวิชาการกระจายเสียงและโทรทัศน์ (วส.) สำนักงาน กสทช. และข้อมูลการวิจัยล่าสุดของ Ovum บริษัทจัดเก็บวิเคราะห์ข้อมูลและที่ปรึกษาด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีจากประเทศอังกฤษ ได้สำรวจตลาดผู้ใช้บริการ OTT แบบลงทะเบียนเป็นสมาชิกในไทย โดยประมาณการณ์ว่าในปี 2562 มียอดผู้ใช้บริการประมาณ 1.3 ล้านรายเพิ่มขึ้น 18.80% จากปี 2561 ที่มียอดผู้ชมรวม 1.09 ล้านรายและจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.1 ล้านรายในช่วง 5 ปีหรือในปี 2566
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้ยังพบว่าไทยเป็นประเทศมีผู้ชมในกลุ่มบริการวีดิโอสตรีมมิ่งแบบ SVOD หรือ Subscription Video on Demand หรือบริการรับชมทีวีออนไลน์ย้อนหลังแบบเรียกเก็บค่าสมาชิกในสัดส่วนที่สูงมาก โดยมีจำนวนสมาชิกในปี 2562 อยู่ที่ 1.13 ล้านราย และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.91 ล้านราย ในปี 2566
ขณะที่บริการแบบรับชมสดตามโปรแกรมที่ออกอากาศ SLIN หรือ Subscription Linear มีสัดส่วนไม่มาก โดยปี 2562 มีผู้ใช้บริการแบบรับชมสดอยู่ที่ 170,000 รายเท่านั้น คาดตัวเลขผู้ใช้บริการใกล้ระดับ 190,000 รายในปี 2566
อย่างไรก็ตามด้วยแนวโน้มอัตราการเติบโตที่สามารถจะทะยานขึ้นได้อีกมาก
แต่ก็เป็นโอกาสที่มาพร้อมกับความท้าทายที่สูงมาก
เนื่องจากการแข่งขันขณะนี้เริ่มส่อเค้ารุนแรงขึ้นจากการเข้าสู่ตลาดของแบรนด์ใหม่
ซึ่งแต่ละรายต่างโพกัสในทุกๆมิติเพื่อขยายฐานสมาชิก
ไม่ว่าเป็นการพัฒนาคอนเทนต์ให้หลากหลาย เข้าถึงง่าย รูปแบบแพ็กเกจและราคา เพื่อให้ผู้บริโภคมีความภักดีในแบรนด์
(Brand Loyalty) เพราะจำนวนสมาชิกคือที่มาของรายได้โดยตรง
ซึ่งขณะนี้ต้องยอมรับว่าผู้บริโภคมีทางเลือกในการใช้บริการสูงและมีต้นทุนในการ Swiching
Brand ต่ำมาก
Netfix เร่งผนึก“พันธมิตร”ขยายฐานตลาดท้องถิ่น
ปัจจุบัน VDO Streaming ในไทยมีเน็ตฟลิกซ์เป็นผู้นำตลาด แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขด้านผลประกอบการในไทยที่ชัดเจน
แต่จากข้อมูลของสตาทิสต้า (Statista) คาดว่าเน็ตฟลิกซ์ในไทยอาจมีผู้ชมถึง
8 แสนคน ขณะที่ด้านรายได้นั้น www.comparitech.com คาดการณ์ว่าปี
2562 ที่ผ่านมาน่าจะมีรายได้ประมาณ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยยุทธศาสตร์หลักของเน็ตฟลิกซ์ คือ “ออริจินัล
คอนเทนต์” สะท้อนได้จากเอกสารข้อมูลทางการเงินนับถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 พบว่าเน็ตฟลิกซ์ทุ่มลงทุนด้านคอนเทนต์มากกว่า
15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในตลาดของผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่ง
และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นอีกในอนาคต โดยที่ผ่านมาเน็ตฟลิกซ์มีอัตราการลงทุนด้านออริจินัล
คอนเทนต์เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ปี 2558 เฉลี่ยปีละ 34% โดยช่วยแรกของการทำตลาดในไทยส่วนใหญ่ออริจินัล คอนเทนต์จะเป็นซีรีส์และภาพยนตร์จากฝั่งตะวันตก
แต่ปัจจุบันออริจินัล คอนเทนต์ ได้ถูกนำมาปรับเป็นเครื่องมือในการขยายฐานกลุ่มเป้าหมายในแต่ประเทศที่เน็ตฟลิกซ์เข้าทำตลาด
ด้วยโมเดล “Open Ecosystem” ผ่านการสร้างพันธมิตรซึ่งเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ทั้งระดับโลกและระดับท้องถิ่น
(Local Partner) ในการพัฒนาเนื้อหาที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์
วัฒนธรรม บริบทของสังคมที่แตกต่างกันซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ
โดยจะถ่ายทอดบนพื้นฐานที่ผู้ชมจากทั่วโลกสัมผัสได้ง่าย เนื่องจากเน็ตฟลิกซ์ให้บริการใน
190 ประเทศ ดังนั้นคอนเทนต์จึงควรจะเข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้ในระดับสากล
ในไทยเน็ตฟลิกซ์มีเครือจีเอ็มเอ็ม และช่อง
3 เป็นพันธมิตรในการนำคอนเทนต์เก่ามาลงจอ โดยจะมีการแปลซับไตเติ้ลบรรยายทั้งในภาษาอังกฤษ
จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม มาเลย์ และอินโดนีเซีย
(รวมถึงใส่ซับไทยเพื่อผู้ชมชาวไทย) นอกจากนี้จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ยังเป็นผู้ผลิต Netflix
Original Series รายสำคัญ
“Mobile 99 บาท”
ปิดจุดอ่อนราคาสูง
เป้าหมายของเน็ตฟลิกซ์ในปีนี้
2563 คือการเพิ่มอัตราเร่งในการขยายฐานไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ
โดยเฉพาะการเจาะตลาดแมส เนื่องจากเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความได้เปรียบในภาวะที่คู่แข่งขันรายใหม่ๆ
เร่งจัดทัพเข้ามาชิงโอกาส และเป็นความได้เปรียบของเน็ตฟลิกซ์ที่อยู่ในตลาดมานานกว่า
โดยล่าสุดนำได้นำแพ็กเกจ Mobile 99 บาทต่อเดือนเข้าสู่ตลาดสำหรับการชมผ่านสมาร์ทโฟนเท่านั้น
ซึ่งแพ็กเกจนี้จะทำตลาดเฉพาะบางประเทศ
เช่น ไทย เนื่องจากคนไทยมีอัตราการใช้สมาร์ทโฟนถึง 70% และมีพฤติกรรมการใช้เวลาบนโลกออนไลน์มากอันดับต้นๆ
ของโลก ที่สำคัญคือคนไทยถึง 89% ใช้ดูคอนเทนต์สตรีมมิ่งผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงมากและเป็นโอกาสที่ดีในการจะขยายฐานลูกค้าในกลุ่มที่นิยมดูคอนเทนต์ผ่านสมาร์ทโฟนเท่านั้น
เกมนี้เน็ตฟลิกซ์เล็งผลสำเร็จไปที่การขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ
ซึ่งยังมีอีกมากในไทย
ขณะเดียวกันยังเป็นการลดจุดอ่อนด้าน
“ราคา” แพ็กเกจรายเดือนของเน็ตฟลิกซ์ที่สูงสุดในตลาด ด้วยการให้บริการที่อาจเกินความจำเป็น
โดยแพ็กเกจราคาต่ำสุด 297 บาทต่อเดือนรับชมได้ 1 หน้าจอและรับชมได้ทั้งสมาร์ทโฟนและทีวี
ซึ่งการรับชมผ่านทีวีเป็นบริการที่เกินความจำเป็น ทำให้ผู้บริโภคไม่อยากที่จะจ่ายเพื่อซื้อบริการที่ไม่ได้ใช้
ถึงเวลา
“Tencent” ต่อยอด Streaming
สำหรับวี
ทีวี (WeTV)
เป็นแบรนด์ใหม่ในตลาด VDO Streaming ที่ถูกจับตามองอย่างมาก
เนื่องจากเป็นธุรกิจจาก Tencent ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งด้านแพลตฟอร์มดิจิทัลและโซลูชั่น
ซึ่งเข้ามาฝั่งตัวในไทยผ่านการเป็นผู้ให้บริการ Music Streaming หรือบริการฟังเพลงออนไลน์ภายใต้แบรนด์ JOOX ทั้งยังเป็นเจ้าของ
www.sanook.com
โดย
Tencent ขยายฐานธุรกิจเข้าสู่ตลาด VDO
Streaming ในเดือนมิถุนายน ปี 2562 ภายใต้แบรนด์ WeTV วางตำแหน่งทางการตลาดไว้ที่การเป็น
“ศูนย์รวมความบันเทิงแห่งเอเชีย” ปัจจุบันสัดส่วนคอนเทนต์ที่อยู่บนแพลตฟอร์ม
WeTV แบ่งเป็นออริจินัลคอนเทนต์ 70% และเอ็กซ์คลูซีฟ
คอนเทนต์ คิดเป็น 30% ของคอนเทนต์ทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ส่วนใหญ่จะส่งตรงจาก Tencent
Picture ทำให้มีจุดแข็งด้านซีรีส์จีนคุณภาพระดับโลก
ล่าสุดเทนเซ็นต์ได้เข้าเทกโอเว่อร์ iflix
แพลตฟอร์มวิดีโอ สตรีมมิ่ง สัญชาติมาเลเซียเป็นที่เรียบร้อย เปิดให้บริการในไทยตั้งแต่ปลายปี
2558
ขณะที่ในปี
2563 WeTV ได้เพิ่มสัดส่วนคอนเทนต์จากเกาหลีและไทยมากขึ้น โดยล่าสุดได้ร่วมกับ 3
พันธมิตร จีเอ็มเอ็ม ทีวี ทีวี ธันเดอร์ และสตูดิโอ วาบิ ซาบิ
สร้างออริจินัลซีรีส์ แนววาย 3 เรื่องกิจกรรมให้เหล่าแฟนคลับสายวายตลอดครึ่งปีหลัง
2020 เพื่อตั้งเป้าขยายฐานผู้ใช้แอปพลิเคชัน WeTV เพิ่มขึ้น
4 เท่าให้ได้ภายในสิ้นปี เล็งเจาะกลุ่มเป้าหมายหลัก คือผู้หญิงอายุ 13 – 34 ปี
รวมถึงการขยายไปยังกลุ่มผู้ชมใหม่ๆ
ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มเปิดรับคอนเทนต์วายมากขึ้น
ตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งไทย ล่าสุดรุกกลุ่มกรี๊ดซีรีส์วาย
เปิดโปรเจคซีรี่ย์ไทย “ปฏิบัติการณ์หัวใจ
‘วาย’” จับมือพันธมิตร ปั้นออริจินัลซีรีส์แนววาย รวมถึงการเป็นพันธมิตรรายแรกของช่อง
3 ที่ได้รับสิทธิ์ในการออกอากาศละครแบบคู่ขนาน และรีรันละครแบบเอ็กซ์คลูซีฟ
WeTV
พลิกเกมใหม่ เปิดฟีเจอร์
Online Only
นอกจาก WeTV
จะใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่างผ่านคอนเทนต์ที่ตอกย้ำความเอเชียแล้ว
ยังได้เปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับสมาชิก ด้วยการทำให้การรับชมวิดีโอสตรีมมิ่งเป็นการสื่อสารสองทิศทางในแบบ
OO (Online Only)โดยให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์ ผ่านการใช้จุดเด่นของแพลตฟอร์มและความพร้อมด้านเทคโนโลยีของบริษัทแม่
เริ่มจากการฟีเจอร์พิเศษอย่าง
“Flying Comment” เข้ามาใช้เป็นรายแรก
เพื่อให้ผู้ชมสามารถคอมเมนต์ขณะชมซีรีส์ได้แบบเรียลไทม์ โดยผู้ชมจะเห็นคอมเมนต์ของคนอื่นๆ
ที่รับชมคอนเทนต์เดียวกันบนแพลตฟอร์มของวี ทีวี ซึ่งจะให้ความรู้สึกเหมือนมีเพื่อนนั่งดูอยู่ด้วยกัน
ซึ่งปัจจุบันมีการใช้ฟีเจอร์นี้มากกว่า 4 ล้านครั้ง
ล่าสุดกับความสำเร็จจากรายการ
‘CHUANG 2020’
วาไรตี้แนว Survival ด้วยรูปแบบรายการที่เฟ้นหาเด็กฝึกหน้าใหม่
7 คนจากทั้งหมด 101 คนเพื่อสร้างเกิร์ลกรุ๊ปวงใหม่หนึ่งในนั้น
คือ “เนเน่ – พรนับพัน พรเพ็ญพิพัฒน์”
เด็กไทยหนึ่งเดียวในรายการผ่านการคัดเลือกมาเป็น 1 ใน 7
สมาชิก เกิร์ลกรุ๊ปวง ‘BonBon Girls 303’ โดยรายการนำศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับเอเชียมาเป็นทีมโค้ชฝึกสอน
สำหรับกลยุทธ์สำคัญที่ส่งให้กระแสรายการ
‘CHUANG 2020’
พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วมาจากการสร้างประสบการณ์ร่วมแบบ OO (Online Only) ที่ให้ผู้ชมส่งคะแนนโหวตให้กับเด็กฝึกที่ชื่นชอบผ่านฟีเจอร์โหวตบนแอปพลิเคชัน
WeTV และให้สิทธิพิเศษให้กับสมาชิก WeTV VIP ด้วยการเพิ่มคะแนนการโหวตเป็น 2 เท่า เพื่อดึงดูดฐานแฟนคลับซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
ด้วยสถิติจำนวนผู้ใช้งานที่ร่วมโหวตผ่าน “ฟีเจอร์โหวต” ในแอปพลิเคชัน มากถึง 400,000 บัญชี ตลอดทั้งซีซั่น
เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งว่าสองยักษ์ใหญ่ทั้ง Netflix และ WeTV ที่เริ่มเปิดเกมชิงเจ้าตลาด VDO Streaming ในประเทศไทย รวมถึงตลาดในอาเซียนใครจะอยู่บนสุดของห่วงโซ่ แต่ที่แน่ๆ เกมนี้ยังมีพื้นที่มากพอให้รายย่อยมาฉกชิง เพราะด้วยการที่ผู้บริโภคมีทางเลือกมาก แถมการตัดสินใจเปลี่ยนได้เร็ว และเข้าถึงได้ในต้นทุนที่ต่ำ ตลาดนี้จึงถือว่าแค่เพิ่มเริ่มต้องรอดูกันยาวๆ