‘อาชีพขายของออนไลน์ - ตลาดนัด’ ช่วยสร้างรายได้งาม ไม่ต้องลาออกจากงานประจำก็ทำได้ อาชีพนี้จึงกลายเป็นแหล่งรายได้ยอดนิยม เมื่อมีรายได้หน้าที่สำคัญตามมาก็คือ ‘การเสียภาษี’ ซึ่งปีนี้กรมสรรพากรเริ่มเอาจริงเอาจังกับพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายที่มีรายได้แต่ไม่ยื่นภาษีให้ถูกต้อง ดังนั้นมาดูกันว่าสิ่งจำเป็นต้องรู้สำหรับพ่อค้า-แม่ค้าตลาดนัดหรือขายของออนไลน์เกี่ยวกับการเสียภาษีมีอะไรบ้าง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ขายของออนไลน์-ตลาดนัดต้องเสียภาษีแบบไหน?
หากไม่ได้มีการเปิดหรือจดทะเบียนในรูปแบบบริษัท จะถือเป็นการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ซึ่งถูกจัดอยู่ในเงินได้ประเภทที่ 8 คือเงินได้จากการค้าขาย
และช่วงเวลาที่พ่อค้าแม่ค้าต้องยื่นภาษีจะมีอยู่ 2 ช่วงคือ
- ยื่นภาษีสิ้นปี (ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90) ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม
เป็นการสรุปรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา
- ยื่นภาษีกลางปี (ยื่นแบบ ภ.ง.ด.94) ช่วงเดือนกรกฏาคม-กันยายน
เป็นการสรุปรายได้ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีภาษีแรกที่ผ่านมา โดยที่ค่าลดหย่อนบางรายการจะถูกหักเหลือครึ่งหนึ่งด้วย
เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัวจะลดลงจาก 30,000 บาท เหลือ 15,000 บาท
ขายของตลาดนัด-ออนไลน์เสียภาษีเงินได้อย่างไร รายได้เท่าไหร่ถึงเสียภาษี?
(ตัวอย่าง
ค่าใช้จ่ายเหมา 60%
และมีเฉพาะค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท)
- มีรายได้ทั้งปีเกิน 60,000 บาท ถึง 525,049 บาท ต้องยื่นแบบภาษีเงินได้
แต่ไม่มีภาษีต้องเสีย
- มีรายได้ทั้งปี 525,050 บาทขึ้นไป ต้องยื่นแบบภาษีเงินได้
และต้องเสียภาษี เริ่มต้น 1 บาท
- มีรายได้ทั้งปี 1,000,001 บาท ต้องเสียภาษี 11,500 บาท
- มีรายได้ทั้งปี 2,000,000 บาท ต้องเสียภาษี 63,500 บาท
อย่างไรก็ตาม หากมีเอกสารค่าใช้จ่ายจริง เช่น ค่าวัตถุดิบ
ต้นทุนการผลิต ต้นทุนสินค้า ค่าขนส่ง ค่าจ้างลูกจ้าง หรือค้าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขาย
และพิสูจน์ได้ว่ามีค่าใช้จ่ายจริงมากกว่าการหักค่าใช้จ่ายเหมา
เมื่อนำไปคำนวณภาษีแล้ว สามารถลดจำนวนเงินภาษีที่ต้องเสียได้
ค่าใช้จ่ายที่นำมาคิดภาษีร้านค้าออนไลน์มีกี่แบบ?
1. หักค่าใช้จ่ายตามอัตรา 60%
สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่ซื้อมา ขายไป ไม่ได้ผลิตเอง
2. หักค่าใช้จ่ายตามจริง สำหรับร้านค้าที่ผลิตสินค้าเอง
แต่กรณีนี้ต้องมีเอกสารที่ต้องใช้ยื่นเพื่อยันยืนความถูกต้อง
3. หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา คือคิดภาษี 0.5% หากมีรายได้จากการขายของออนไลน์มากกว่า 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาท)
ร้านค้าตลาดนัด-ออนไลน์ มีรายได้เกินปีละ 1-1.8 ล้านบาท ต้องเสียภาษี
เมื่อเปิดร้านค้าออนไลน์ขึ้นมาแล้วและเกิดรายได้ขึ้นมา ผู้ประกอบการจะเกี่ยวข้องกับการเสียภาษี
2 ประเภทก็คือ ‘ภาษีเงินได้’ และ ‘ภาษีมูลค่าเพิ่ม’ หากเป็นร้านค้าธรรมดาต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยการคำนวณจากเงินได้สุทธิ
แต่ถ้าจดทะเบียนเป็นบริษัท ‘นิติบุคคล’
เป็นห้างหุ้นส่วนหรือในรูปแบบของบริษัท ก็ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ
หากมีรายได้จากการขายทั้งปี 1,800,000
บาทขึ้นไป ซึ่งรายรับจากการขายนี้หรือยังไม่ได้รับยกเว้นจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็ต้องยื่นคำขอร้องจดทะเบียนภาษี
และยื่นในรูปแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) และจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (ถ้ามี)
เงินได้จากการขายของออนไลน์–ตลาดนัดถือเป็นเงินประเภทที่ 8
(เงินได้ประเภทอื่นๆ) สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธีคือ แบบเหมารวมในอัตรา
80% ของรายได้ และแบบตามความจำเป็น/ตามสมควร โดยส่วนที่เหลือจากการหักค่าใช้จ่าย ให้นำมาหักค่าลดหย่อนตามกฎหมายเพื่อคำนวณเงินได้สุทธิในขั้นต่อไป
ข้อควรรู้เรื่องภาษีออนไลน์ ‘อี-เพย์เมนต์’ (e-Payment)
กรมสรรพากรรู้ว่ามีการขายของออนไลน์เกิดขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีกฎหมายออกมารองรับให้ทางสถาบันการเงินต้องส่งข้อมูลการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์
หรือที่เรียกว่า “อี-เพย์เมนต์ (e-Payment)” ที่เริ่มมีผลบังคับใช้จริงตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 63 เพื่อให้ทางสรรพากรตรวจสอบแต่ไม่ได้ตรวจสอบทุกบัญชี
โดยจะมีเงื่อนไขที่เข้าข่ายโดนสรรพากรตรวจสอบดังนี้
- เมื่อมีการฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชี 3,000 ครั้งต่อปีขึ้นไป
ไม่ว่ายอดรวมทั้งหมดจะกี่บาทก็ตาม
- ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกัน 400 ครั้งขึ้นไป และมียอดเงินรวมเกิน
2 ล้านบาท
*หากทางธนาคารพบว่าบัญชีใดเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งจะมีสิทธิ์ถูกตรวจสอบ
และทำการส่งข้อมูลเข้าระบบให้กรมสรรพากรต่อไป
การเสียภาษีถือเป็นหน้าที่ของผู้มีรายได้
ซึ่งผู้เป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์–ตลาดนัดก็ถือว่าเป็นผู้มีรายได้เช่นกัน หากไม่ทำการยื่นภาษีก็อาจโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง
และต้องเสียค่าปรับอีกด้วย ดังนั้นการทำให้ถูกต้องตามกฎหมายจึงเป็นการดีที่สุด
แหล่งอ้างอิง :