ประเทศไทยเป็นประเทศอู่ข้าวอู่น้ำมีวิถีชีวิตผูกพันกับภาคการเกษตรมานาน
โดยเฉพาะในเรื่องของการทำนาข้าว
ที่สามารถเพาะปลูกได้ทั่วทุกพื้นที่ในประเทศที่มีน้ำเพียงพอ
ทั้งในระบบนาปรังและนาปี อีกทั้งยังมีข้าวหลายสายพันธุ์ให้เลือกบริโภค นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงพันธุ์ให้ข้าวมีอายุการเก็บเกี่ยวสั้นลง
จึงทำให้ผลผลิตข้าวภายในประเทศมีมากเกินความต้องการจากกำลังการผลิตที่มีสูงขึ้น
ในขณะที่คนไทยมีแนวโน้มบริโภคข้าวลดลง
โดยมีการบริโภคภายในประเทศของเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 86 กก.ต่อคนต่อปี หรือเดือนละ 7 กก. ซึ่งปริมาณดังกล่าวรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 20 ล้านคนด้วย ดังนั้นปริมาณความต้องการบริโภคข้าวในประเทศจึงลดลงตาม รวมถึงสภาวะการแข่งขันของข้าวในตลาดโลกที่มีความรุนแรงขึ้นจากจำนวนคู่แข่งมากราย ในขณะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นราคาขายข้าวไทยจึงสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ซึ่งเป็นปัจจัยส่งผลให้ไทยทำการส่งออกข้าวได้ไม่มากนัก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้การทำตลาดส่งออกข้าวนั้นมีจุดอ่อนไหว
เพราะถ้ากำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อตลาดข้าวที่มีขนาดเล็กในทันที ทำให้เกิดผลผลิตล้นราคาตก
ทั้งยังต้องแข่งขันกับตลาดข้าวที่ราคาต่ำกว่าไทย ทั้งจากอินเดียและเวียดนาม และเมื่อผู้ประกอบการทำการส่งออกได้น้อยลง
ก็จะมีผลต่อราคาข้าวในประเทศด้วยเช่นกัน ซึ่งในช่วงในช่วงปี 2559– 2562 ข้าวเปลือกเจ้าทั่วไปที่เกษตรกรขายได้ราคาตกลงไปอยู่ที่ตันละ
4,000–5,000 บาท
เป็นช่วงที่ข้าวมีราคาต่ำจนรัฐต้องเข้ามาช่วยอุ้มชาวนาไทย
เมื่อมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เข้ามา หลายประเทศเกิดความสั่นคลอนด้านความมั่นคงทางอาหาร
จึงต้องสงวนสินค้าอาหาร และสินค้าภาคการเกษตรไว้ให้เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ
จึงทำให้ประเทศคู่แข่งทางการค้าข้าวและประเทศอื่นๆ ประกาศลด/งดการส่งออกข้าว
เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารภายในประเทศของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
โดยจีนเป็นประเทศแรกที่หยุดส่งออกนับจากที่มีปัญหาโควิด
ประเทศอินเดียประกาศปิดประเทศและหยุดส่งออกเป็นเวลา 3 สัปดาห์
จึงส่งผลต่อตลาดข้าวโลก จากการที่อินเดียเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ล่าสุดทางกัมพูชาประกาศงดส่งออกข้าวขาวทั้งหมด
ยกเว้นข้าวหอมมะลิและข้าวคุณภาพสูง 2 เดือนนับตั้งแต่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นไป
ส่วนเวียดนามมีการจำกัดปริมาณการส่งออกเช่นกัน โดยที่ไทยยังคงทำการส่งออกตามปกติ
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ราคาข้าวไทยทั้งในตลาดส่งออกและตลาดในประเทศขยับขึ้นมา
จากการหันมานำเข้าข้าวไทยของคู่ค้า จึงทำให้ประเทศไทยเสมือนได้ประกาศต่อชาวโลกเป็นนัยว่า
เป็นประเทศที่มีความมั่นคงด้านอาหารที่น่าจับตาประเทศหนึ่ง
นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เปิดเผยว่า
ขณะนี้เกษตรกรอยู่ระหว่างการเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังรอบแรก (ช่วงเม.ย.) ซึ่งปริมาณผลผลิตเฉลี่ย
100,000 ตัน แต่จะยังทยอยออกมาเรื่อยๆ คาดว่าหลังจากเดือนเมษายนเกษตรกรจะเริ่มปลูกข้าวนาปรังรอบ
2 ทันที เนื่องจากข้าวราคาดี โดยข้าวเปลือกเจ้าในขณะนี้มีราคาตันละ 8,000 บาท
หรือเป็นข้าวสารเฉลี่ยตันละ 15,000-16,000 บาท
ส่วนราคาข้าวเปลือกหอมปทุมและข้าวเปลือก
กข 79 เฉลี่ยตันละ 9,000-10,000 บาท หรือเป็นข้าวสารตันละ 25,000 บาท
และมีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งมีผลมาจากการปิดประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ทำให้ราคาข้าวไทยสูงขึ้นและแพงกว่าคู่แข่ง
ส่องตลาดข้าวไทยช่วงโควิด-19 ในฮ่องกงและบาห์เรน
ฮ่องกง - จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ทำให้เกิดปรากฎการณ์ Panic Buying หรือ
ความวิตกกังวลว่าจะไม่มีข้าวเพียงพอสำหรับการบริโภคในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ทำให้ผู้บริโภคชาวฮ่องกงแห่ซื้อและกักตุนข้าวเป็นจำนวนมาก ประกอบกับเวียดนามระงับการส่งออกข้าวชั่วคราว
ขณะที่ไทยไม่มีมาตรการจำกัดปริมาณการส่งออกข้าว
ด้วยข้าวเป็นอาหารหลักที่ชาวฮ่องกงบริโภค
โดยแต่ละปีฮ่องกงนำเข้าข้าวประมาณ 327,055 ตัน เป็นข้าวจากไทยประมาณ 190,180 ตัน ซึ่งไทยเป็นอันดับหนึ่งในส่วนแบ่งตลาดข้าวของฮ่องกงมาตลอด
ในส่วนของข้าวที่ฮ่องกงนำเข้าจากไทยได้แก่ ข้าวหอมมะลิไทย ข้าวหอมไทย และข้าวขาว
จึงส่งผลดีให้การนำเข้าข้าวไทยของฮ่องกงปี 2563 (ม.ค.-เม.ย.)
มีปริมาณ 69,339 ตัน
เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 27 คิดเป็นมูลค่า 84,240,366
ดอลลาร์สหรัฐ ครองส่วนแบ่งตลาดข้าวในฮ่องกงร้อยละ 66 โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิไทยและข้าวหอมไทย
ทั้งนี้ฝ่ายฮ่องกงมีความเชื่อมั่นว่าไทยมีปริมาณผลผลิตเพียงพอที่จะส่งออกข้าวให้ชาวฮ่องกงได้ตลอด
สำหรับฝ่ายไทยยืนยันว่ารัฐบาลไทยไม่มีมาตรการจำกัดหรือห้ามการส่งออกข้าวไปต่างประเทศ
และขอให้ฝ่ายฮ่องกงเชื่อมั่นว่าไทยมีปริมาณผลผลิตข้าวเพียงพอพร้อมที่จะส่งออกไปฮ่องกง
และขอให้ฮ่องกงพิจารณานำเข้าข้าวไทยเพิ่มมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19
ในฮ่องกงดีขึ้น ภาครัฐของไทยจะดำเนินการส่งเสริมข้าวไทยผ่านเครือร้านอาหารรายใหญ่
เพื่อประชาสัมพันธ์และรักษาตลาดข้าวไทยในฮ่องกงอีกทางหนึ่ง
โดยสามารถสร้างความเชื่อมั่นทางการค้าข้าวในช่วงสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของโควิด-19
ได้เป็นอย่างดี ข้าวไทยจึงมีอนาคตสดใสในฮ่องกง
แค่เพียงสามารถควบคุมคุณภาพการผลิตให้ได้มาตรฐาน ข้าวไทยก็จะมีพื้นที่ยืนนานในตลาดนี้
บาห์เรน – ข้าวไทยได้รับโอกาสอันดีช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ที่ประเทศคู่แข่งประกาศงด/ลดการส่งออกข้าว
ในขณะที่บาห์เรนมีความจำเป็นต้องสำรองข้าวไว้ใช้บริโภคในยามวิกฤติ
นี่จึงเป็นโอกาสอันดีของข้าวไทยที่จะได้ตีตลาดเชิงรุกในบาห์เรน
จากพฤติกรรมการบริโภคของชาวบาห์เรนและชาวต่างชาติที่นิยมบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก รัฐบาลบาห์เรนจึงไม่เก็บภาษีนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ
รวมถึงข้าวที่นำเข้าจากไทย
โดยในส่วนของข้าวไทยนั้นชาวบาห์เรนรู้จักกันดีว่าเป็นข้าวที่ราคาสูงในบาห์เรนจากคุณภาพและรสชาติอร่อยถูกปาก
โดยข้าวหอมมะลิไทยเป็นข้าวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
แต่ในตลาดบาห์เรนนั้นไทยมีอินเดียเป็นคู่แข่งสำคัญ ประกอบกับประชากรกว่า 40%
ในบาห์เรนเป็นชาวอินเดีย
อินเดียจึงมียอดส่งออกข้าวบาสมาติสูงกว่าข้าวไทยเป็นจำนวนมาก
หากมองด้านคุณภาพแล้วยังแค่พอสูสีกับข้าวไทยและยังสู้ข้าวหอมมะลิไทยไม่ได้
เวียดนามจึงกลายเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามากกว่าอินเดีย เพราะส่งออกข้าวหอมมะลิและข้าวขาวมายังบาห์เรนในราคาต่อตันที่ถูกกว่าข้าวไทย
จากสถิติของกรมศุลกากรไทย
ข้าวไทยที่ส่งไปจำหน่ายในบาห์เรนมีมูลค่าการค้าในปี 2560 จำนวน 70.78 ล้านบาท ปี
2561 จำนวน 71.36 ล้านบาท ปี 2562 ตกลงมาเหลือเพียง 52.47 ล้านบาท
แต่ในสามเดือนแรกของปี 2563 ข้าวไทยทำยอดจำหน่ายได้ถึง 18.58 ล้านบาท
เพิ่มจากไตรมาสเดียวกันของปี 2562 ถึงร้อยละ 107
และมีแนวโน้มที่จะสามารถจำหน่ายได้มากขึ้น ภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากความจำเป็นที่ต้องสำรองข้าวไว้ใช้บริโภคในยามวิกฤต
ขณะเดียวกันการนำเข้าข้าวมาประเทศบาห์เรนนั้นไม่มีความยุ่งยากมากนัก
หากในกรณีข้าวที่นำเข้าจากไทยนั้นต้องมีหนังสือรับรองสุขอนามัยข้าว (Health Certificate) ซึ่งเป็นหนังสือรับรองคุณภาพข้าวส่งออก
ที่ระบุว่าเป็นข้าวที่เหมาะสำหรับการบริโภค
ซึ่งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจะเป็นหน่วยงานที่ให้การรับรองและชี้แจ้งรายละเอียดต่างๆ
เพื่อนำไปแสดงต่อศุลกากร
แต่ในปัจจุบันยังไม่มีผู้ประกอบการชาวไทยในบาห์เรนนำเข้าข้าวไทยมายังบาห์เรนได้โดยตรง ทำให้การค้าข้าวไทยในบาห์เรนจึงอยู่ในมือพ่อค้าข้าวอินเดียในบาห์เรนทั้งหมด
เนื่องจากรู้จักลูกค้าและมีช่องทางจำหน่ายดีกว่าพ่อค้าชาวไทย
ร้านอาหารไทยและซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างซื้อข้าวไทยที่นำเข้าจากพ่อค้าเหล่านี้ เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาสำหรับการเคลียร์ของที่ศุลกากร
และไม่มีความยุ่งยากเรื่องการขนส่งและการจัดเตรียมเอกสารสำหรับการนำเข้าแต่อย่างใด
ซึ่งกลายเป็นอุปสรรค์สำคัญในการค้าข้าวไทยในบาห์เรน
ทั้งนี้โอกาสของข้าวไทยภายหลังวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 บาห์เรนมีความต้องการสำรองข้าวสูง
จึงมีความต้องการนำเข้าเพิ่มมากขึ้น
วิกฤตในครั้งนี้จึงกลายเป็นโอกาสของการส่งออกข้าวไทยโดยปริยาย
ประกอบกับชาวบาห์เรนนิยมรับประทานอาหารไทย
ร้านอาหารและซุปเปอร์มาร์เก็ตในบาห์เรนจึงจำหน่ายข้าวไทยหลากหลายชนิดทั้งข้าวหอมมะลิ
ข้าวเหนียว ข้าวนึ่ง และข้าวขาว
นอกจากนี้ในส่วนของการดูแลและอำนวยความสะดวกในเรื่องการบริโภคของประชาชนชาวบาห์เรนในช่วงเทศกาลถือศีลอด
นายกรัฐมนตรีของบาห์เรนได้สั่งให้ทางรัฐบาลแจกจ่ายข้าวหอมมะลิไทยแก่ประชาชน
เนื่องจากข้าวไทยที่เป็นนิยมแพร่หลายภายในประเทศ
โดยสินค้าข้าวไทยที่ควรส่งเสริมให้มีการส่งออกไปบาห์เรนมากขึ้น
คือ ข้าวหอมมะลิ ข้าวนึ่ง ข้าวเหนียว และข้าวขาว
เนื่องจากต้องรักษาตลาดข้าวเดิมตามความนิยมของประชาชนชาวบาห์เรน
และในอนาคตควรส่งเสริมให้มีการส่งออกข้าวไทยเพื่อสุขภาพ
เพื่อเพิ่มยอดจำหน่ายในบาห์เรน อาทิ ข้าวกล้อง และข้าวไรซ์เบอรี่
เนื่องจากประชาชนชาวบาห์เรนหันมาสนใจสินค้าเพื่อสุขภาพอนามัยมากขึ้นในระยะหลัง
หากทำสำเร็จไทยจะกลายเป็นประเทศที่ถือครองตลาดข้าวพันธ์สุขภาพในบาห์เรนได้ เนื่องจากเป็นเจ้าแรกที่หันมาจับกระแสทำการตลาดด้านสุขภาพอย่างจริงจัง
ถึงแม้ไตรมาสแรกไทยจะส่งออกข้าวได้เพียง
1.5 ล้านตัน ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้คือ 1.8 ล้านตัน
ซึ่งเป็นผลมาจากราคาข้าวไทยปรับตัวสูงขึ้นกว่า 200 ดอลลาร์ต่อตัน
และผลจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น
โดยเฉพาะด้านการขนส่ง การกระจายสินค้า
แต่นี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะตีตลาดข้าวของไทย และมีการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรได้ผลิตข้าวคุณภาพดีจากสถานการณ์ด้านราคาข้าวเปลือกที่พุ่งขึ้นในรอบ
10 ปีกับจุดยืนนำเรื่องความมั่นคงด้านอาหารที่ประเทศอื่นๆ
ต่างก็เล็งมาที่ประเทศไทย.
แหล่งอ้างอิง : https://globthailand.com/bahrain24062020/