Plant-based Food เทรนด์อาหารสุดฮิตทั่วโลก

ในปัจจุบันหากพูดถึงมูลค่าทางการตลาด Plant-based Food ต้องยกให้ตลาดต่างประเทศ ที่กำลังเทรนด์ใหม่ฮอตฮิตติดลมบนโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่นิยมมากที่สุดคือ Plant-Based Meat (เนื้อจากพืช) ทำให้ในปี 2562 ทั่วโลกมีมูลค่ามากกว่า 12,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเม็ดเงินจากอเมริกาเหนือเกือบ 50% ตามด้วยยุโรป เอเชียแปซิฟิก และภูมิภาคอื่นๆ ส่วนกระแสความนิยมในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 4,000 ล้านบาท และแนวโน้มเติบโตไม่หยุดผลพวงจากผู้บริโภคชาวไทยหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น หลังจากเกิดการแพร่ของโควิด 19

โดยสาเหตุ “Plant-Based Meat” เป็นเทรนด์ที่มาแรงมากในปีนี้ ทำให้เชื่อว่าจะไม่ใช่แค่ Niche Market แต่เป็น Mega Trend อนาคตของธุรกิจอาหารเลยก็ว่าได้ เนื่องจาก Plant-based Meat คืออาหารที่ทำมาจากพืชเป็นหลักประมาณ 95% ส่วนใหญ่ทำมาจากถั่วและบีทรูท แต่ไม่ใช่อาหารเจ ไม่ใช่มังสวิรัติ ที่ไม่กินนม ไม่กินไข่ ไม่ใช่ Vegan เพราะไม่มีประเด็น Animal Activist หรือการไม่ละเมิดชีวิตสัตว์ เป็นเรื่องสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมล้วนๆ ที่นิยมมากที่สุดในตอนนี้ ก็คือการทำเป็น “เนื้อเบอร์เกอร์” หรือจะเรียกกันว่าเบอร์เกอร์ไร้เนื้อสัตว์ แต่ให้รสชาติ และผิวสัมผัสที่เหมือนเนื้อจริงๆ รับประทานแล้วได้เหมือนได้ทานเนื้อสัตว์

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme 

อย่างไรก็ตามหากจะแยกตลาด Plant-Based Meat ในทุกวันนี้ สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ประเภทที่อยู่ในรูปแบบคล้ายเนื้อสัตว์ ต้องนำไปปรุงอาหาร ปรุงรสก่อน และประเภทที่เป็นอาหารกึ่งสำเร็จรูป พร้อมกินมากกว่าแบบแรก มักอยู่ในรูปของเบอร์เกอร์ สเต็ก หรือเมนูอื่นๆ

ความแตกต่างของเนื้อ Plant-Based Meat แต่ละแบรนด์ที่จำหน่ายตามท้องตลาด ขึ้นอยู่กับสูตรของผู้ผลิต เช่น การแต่งกลิ่น ปรุงรส ซึ่ง More Meat มีจุดเด่นที่การไม่แต่งกลิ่นและรส โซเดียมต่ำ เน้นโปรตีนจากพืชเป็นหลัก ประกอบด้วยถั่วเหลือง เห็ดแครง น้ำมันมะพร้าว น้ำมันคาโนลาจากพืช บีทรูท และสารสกัดจากสาหร่าย เป็นต้น โดยใช้วัตถุดิบที่ผลิตในประเทศไทยเป็นหลัก เพื่อส่งเสริมอาชีพเกษตรกร

Plant-Based – เจ – มังสวิรัติ แตกต่างกันอย่างไร..?

ต้องบอกว่าเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกในหลายมิติจริงๆ รวมถึงอาหารการกิน ในอดีตหากพูดถึงพืชผัก เราก็จะคุ้นชินกับหน้าตาและรสชาติอยู่แล้ว แต่นวัตกรรมอาหารยุคนี้ทำให้พืชผักเปลี่ยนหน้าตาและรสชาติเป็นรูปแบบที่เราไม่เคยนึกมาก่อน ว่าสิ่งที่ดูเหมือน รสชาติเหมือนเนื้อสัตว์นั้น จะทำมาจากพืช

เพราะจริงๆ แล้วอาหารกลุ่ม Plant-Based นั้นมีมากกว่าแค่เนื้อสัตว์จากพืช แต่ยังมีทั้งนม ไอศกรีม โยเกิร์ต เนย ชีส เป็นต้น ทั้งหมดถูกนำมาใช้รวมกันเพื่อพัฒนาเป็นทางเลือกใหม่ของอาหาร กลายเป็นแหล่งโปรตีนรูปแบบใหม่ หรืออาจมีการเลียนแบบหน้าตาและรสชาติเนื้อสัตว์ ซึ่งใส่วัตถุดิบอื่น เช่น เห็ด เพิ่มเข้าไปเพื่อสร้างรสสัมผัสให้ใกล้เคียงเนื้อสัตว์มากเข้าไปอีก

แต่ทุกวันนี้จะแยกตลาด Plant-Based Meat สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือประเภทที่อยู่ในรูปแบบคล้ายเนื้อสัตว์ ต้องนำไปปรุงอาหาร ปรุงรสก่อน และประเภทที่เป็นอาหารกึ่งสำเร็จรูป พร้อมกินมากกว่าแบบแรก มักอยู่ในรูปของเบอร์เกอร์ สเต็ก หรือเมนูอื่นๆ ดังนั้น ความแตกต่างระหว่าง Plant-Based – เจ – มังสวิรัติ สามารถแยกแยะได้ดังนี้

Plant-Based Meat คืออาหารเพื่อคนรักสุขภาพ เพราะทำจากพืชจึงไม่มีไขมันและคอเลสเตอรอลเหมือนเนื้อสัตว์ รวมถึงผู้ที่ออกกำลังกาย ผู้ที่ใส่ใจกับการดูแลรูปร่าง ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุเมื่อรับประทานแล้วจะส่งผลดีต่อสุขภาพ อีกทั้ง Plant-Based Meat ยังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนที่อยากได้ความรู้สึกคล้ายกับกินเนื้อสัตว์อยู่ เช่นเดียวกลุ่มผู้บริโภคเจหรือมังสวิรัติก็สามารถรับประทานได้เพราะเป็นเมนูจากพืช

ในต่างประเทศ “Plant-Based” เริ่มเป็นที่นิยมตั้งแต่ปี 2561 จากประเด็นภาวะโลกร้อน เมื่อผู้คนตระหนักถึงปัญหาและต้องการทางเลือกใหม่ๆ ซึ่งแบรนด์อเมริการายแรกที่รุกการทำตลาด คือ Beyond Meat สามารถจุดกระแสด้วยเบอร์เกอร์เนื้อที่ทำจากพืชขึ้นมา ทำให้ผู้คนสนใจอย่างมาก ประกอบกับเมื่อบริษัทสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ ก็ยิ่งกลายเป็นจุดสนใจทั้งจากนักลงทุนและผู้บริโภค จนทำให้อเมริกากลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับเมนูทางเลือก

แบรนด์นอก แบรนด์ไทย เปิดศึกแย่งส่วนแบ่งตลาดเดือด

ภาวะการแข่งขันในธุรกิจ Plant-Based ขณะนี้ เรียกได้ว่าเปิดศึกแย่งส่วนแบ่งการตลาดกันรุนแรง เนื่องจากกระแสที่จุดติดจากเทรนด์ต่างประเทศ หลังการที่มีแบรนด์ดังๆ ทำตลาด ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกลายเป็นทางเลือกใหม่ในการบริโภคอาหาร ถือเป็นการสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภค จากนั้นตลาดเติบโตต่อเนื่องจากการนำเข้าหลากหลายของแบรนด์ต่างๆ ซึ่งแบรนด์ดังจากต่างประเทศ ได้แก่ Beyond Meat, Ripple, Gardein ส่วนแบรนด์ไทย ได้แก่ More Meat, Meat Avatar, Let’s Plant Meat เป็นต้น

โดยในแง่ของ ราคา ก็มีการทำตลาดที่แตกต่างกัน แต่เรียกว่าไม่ได้ทิ้งห่างกันมากในหลักร้อย หรืออาจมีบางแบรนด์ที่ต่ำกว่า 100 เช่น More Meat ที่ทำราคา 200 กรัม 89 บาท ส่วนช่องทางการขายก็เริ่มพบเห็นได้ง่ายขึ้น ทั้งห้างค้าปลีก ห้างค้าส่ง และซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลาย โดยยังไม่นับรวมถึงเชนร้านอาหารที่เริ่มหันมาเสิร์ฟเมนู Plant-Based แล้ว รวมทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหารสุขภาพ หรือแม้แต่ร้านฟาสต์ฟู้ด

อาหารที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ตอบโจทย์ธุรกิจ

ตลาดที่เปิดกว้างและมีแนวโน้มเติบโตไม่หยุด ทำให้ Plant-based Food มีโอกาสมากมายทั้งทางธุรกิจ และเรื่องของสุขภาพ คนที่รับประทานยังคงได้รับความอร่อยที่เหมือนเนื้อ แต่ได้รับสารอาหารจากพืช ซึ่ง Plant-based Food สามารรับประทานได้ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงสูงอายุ มีวิจัยรับรองที่หลากหลายว่าสามารถฟื้นฟูสุขภาพ ทุกคนกินได้อย่างปลอดภัย

ทำให้ทุกวันนี้เป็นเทรนด์ธุรกิจใหม่มาแรงและมีผู้เล่นเพียงไม่กี่รายในสมรภูมิการค้า Plant-Based Meat ถือว่ายังมีโอกาสเติบโตอีกมาก แม้ว่าจะมีแบรนด์ใหญ่เป็นเจ้าตลาดแล้วก็ตาม แต่ในแง่ธุรกิจแล้วผู้ประกอบการหน้าใหม่ยังสามารถเข้าไปแย่งส่วนแบ่งตลาดได้ไม่ยาก เนื่องจากประเทศไทยเป็นตลาดใหม่สำหรับสินค้าดังกล่าว เพราะแม้ประเทศไทยจะคุ้นเคยกับอาหารเจมานาน แต่อย่างที่บอกว่านี่ไม่ใช่จะเจาะกลุ่มคนไม่กินเนื้อสัตว์ แต่เจาะกลุ่มคนรักสุขภาพ ทั้งสองตลาดจึงแตกต่างกัน แต่ถ้าสามารถทำให้ทั้งสองตลาดปรับเข้าหากันได้ ก็อาจเป็นโอกาสที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

แหล่งอ้างอิง : https://brandinside.asia/ 

                         https://healthmeth.wordpress.com/  

สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<< 

มองโอกาส Food Tech จากกระแสบริโภค ‘เนื้อจากพืช’

Wellness Tech โอกาสโตแรงกับกระแสรักสุขภาพ