หลังจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(ทส.) นำร่องประกาศงดใช้ถุงพลาสติกอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2563 ด้วยการงดแจกถุงพลาสติกของห้างสรรพสินค้า
ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง
โดยในช่วงรถณรงค์จริงจัง 5 เดือนแรกสามารถลดถุงพลาสติกได้จำนวน 3,000 ล้านใบ
ทำให้คาดการณ์ไว้ว่าจะสามารถลดถุงพลาสติกหูหิ้วจำนวน 45,000 ล้านใบต่อปี, ลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัดจำนวน 225,000 ตันต่อปี,
ประหยัดงบจัดการขยะมูลฝอยจำนวน 340ล้านบาทต่อปี, รวมทั้งยังสามารถประหยัดพื้นที่รองรับและกำจัดขยะมูลฝอยแบบฝังกลบได้จำนวน
616 ไร่
จากความสำเร็จดังกล่าว เพราะได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนและประชาชน
ทำให้สามารถลดปัญหาขยะเกินคาด ส่งผลให้รัฐบาลเดินหน้าเตรียมรณรงค์ครั้งใหญ่ควบคู่กับบังคับใช้ตามกฎหมาย
ห้ามใช้ถุงพลาสติกทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป
โดยตั้งเป้าจะยกเลิกการใช้พลาสติกประเภทครั้งเดียวทิ้ง 4 ชนิด ได้แก่
ถุงพลาสติกหูหิ้ว, หลอดพลาสติก, แก้วพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง และกล่องโฟม ให้หมดไปจากประเทศภายในปี
2564
ซึ่งจากข้อมูลกรมควบคุมมลพิษ รายงานสถานการณ์มลพิษจากขยะปี 2561 พบว่า มีขยะเกิดขึ้นสูงถึง 27.82 ล้านตัน ในจำนวนนี้มีขยะพลาสติกสัดส่วนมากถึง 12% ของปริมาณขยะทั้งหมด หรือตีเป็นตัวเลขกลมๆ ก็จะอยู่ที่ประมาณปีละ 2 ล้านตัน แต่นำกลับไปรีไซเคิลเพียง 500,000 ตัน คิดเป็น 1 ใน 4 ของพลาสติกทั้งหมด ทั้งๆ ที่ขยะพลาสติกมีมูลค่าหากแยกแยะก่อนทิ้ง ก็สามารถขายสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
+
พลาสติกชนิดไหนบ้างรีไซเคิลได้
ปัญหาขยะพลาสติก ถ้าทิ้งไม่ถูกที่
ใช้อย่างไม่ตระหนักถึงโทษของพลาสติก ก็จะเกิดอันตรายต่อโลก
จนกระทบมาถึงชีวิตมนุษย์ได้
ดังนั้นถึงเวลาแล้วหรือยังที่ทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง
เริ่มต้นจากการแยกขยะพลาสติกให้เป็น จะได้นำขยะพลาสติกไปรีไซเคิล
สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขยะได้ โดยเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้ว่าขยะพลาสติกประเภทไหนบ้างที่สามารถนำไปรีไซเคิล
และเข้าสู่กระบวนการผลิตกลับมาเป็นข้าวของเครื่องใช้ใหม่ได้ แบ่งเป็น 7 ประเภท คือ
1. PETE หรือ PET
โพลีเอทธิลีน เทเรฟธาเลท (Polyethylne Terephthalate : PETE หรือ PET) เป็นพลาสติกใสๆ แข็งแรง สามารถกันการซึมผ่านของแก๊สและน้ำได้
จึงมักถูกนำมาใช้เป็นขวดบรรจุของเหลว อาทิ ขวดน้ำเปล่า ขวดน้ำอัดลม
หรือขวดปรุงอาหาร โดย PETE หรือ PET สามารถนำมารีไซเคิลเป็นเส้นใยเพื่อทำเสื้อกันหนาว
พรม และใยสังเคราะห์ต่างๆ
2. HDPE
โพลีเอทิลีน ความหนาแน่นสูง (High-density Polyethylene : HDPE) เนื่องจากความหนาแน่นสูงนี่เอง
จึงทำให้มีคุณสมบัติเหนียวแน่นและแตกได้ยาก ค่อนข้างมีความแข็งแรง
จึงกลายมาเป็นขวดสำหรับสารเคมีบางชนิด อย่างผลิตภัณฑ์ซักผ้า ขวดแชมพู
น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือกระปุกยา โดย HDPE สามารถนำมารีไซเคิลเป็นขวดน้ำมันเครื่อง
พลาสติก ท่อ ลัง ไม้เทียม เป็นต้น
3. PVC
โพลีไวนิลคลอไรด์ (Polyvinyl Chloride : PVC) เป็นพลาสติกใสที่มีความแข็งแรงมาก
ไอน้ำและอากาศซึมผ่านได้พอสมควร แต่ป้องกันไขมันได้ดี สามารถนำมาใช้ในการผลิตท่อน้ำประปา
หนังเทียม ฉนวนหุ้มสายไฟ ขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอุปกรณ์การแพทย์
4. LDPE
โพลีเอทิลีนความหนาแน่นต่ำ (Low-density Polyethylene : LDPE) เป็นพลาสติกโปร่งแสง
ที่มีปริมาตรสูง แต่ความหนาแน่นต่ำ สามารถนำไปใช้ในการผลิตถุงบรรจุอาหารแช่แข็ง
แผ่นฟิล์ม ถุงใส่ของ และสายหุ้มทองแดง
5. PP
พลีโพรพิลีน (Polypropylene : PP) เป็นพลาสติกที่มีน้ำหนักเบาที่สุด
แต่มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงกระแทกและความร้อนสูง นำไปใช้ในการผลิตฉนวนไฟฟ้า
บานพับ ฝาขวด ภาชนะบรรจุอาหาร ถุงร้อน และหลอดดูดงอ
6. PS
โพลีสไตรีน (Polystyrene : PS) เป็นพลาสติกที่มีความโปร่งใส
เปราะบาง แต่ทนต่อกรดและด่าง ผลิตเป็นรูปต่างๆ ได้ง่าย
ไอน้ำและอากาศซึมผ่านได้พอสมควร นำมาผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ภาชนะ เช่น
ถ้วย จาน และกล่องโฟม
7. พลาสติกอื่นๆ (Other)
พลาสติกชนิดอื่นๆ ที่ไม่ใช่ 6 ชนิดแรก
เช่น โพลีคาร์บอเนต (Polycarbonate : PC) เป็นพลาสติกโปร่งใส
มีความแข็งแรง ทนต่อความร้อน กรด และแรงกระแทกได้ดี นำมาใช้ในการผลิตปากกา
ขวดนมเด็ก หมวกนิรภัย ไฟจราจร ป้ายโฆษณา
พลาสติกแต่ละประเภท
นำไปรีไซเคิลใหม่ได้ยังไงบ้าง
หากมีการลดจำนวนขยะพลาสติกแต่ละชนิด
ถ้าผ่านการแยกขยะอย่างถูกต้องแล้ว จะถูกส่งไปที่โรงงานรีไซเคิล ผ่านการคัดกรอง
ทำความสะอาด จากนั้นจะถูกนำไปหลอมและขึ้นรูปใหม่ แต่คุณภาพอาจจะด้อยลงกว่าเดิม
ดังนี้
1. โพลีเอทิลีน เทอร์ฟะธาเลต (Polyethylene Terephthalate : PETE) สามารถนำมารีไซเคิลกลับมาเป็นขวดเครื่องดื่ม
ขวดน้ำยาซักผ้า ฟิล์มใส เป็นต้น
2. โพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง (High-density Polyethylene : HDPE) มักนำมารีไซเคิลฟิล์ม
บรรจุภัณฑ์ ท่อ พาเลท ถังน้ำมัน กล่องขนาดใหญ่ เป็นต้น
3. โพลีไวนิลคลอไรด์ (Polyvinyl Chloride : PVC) นำมารีไซเคิลเป็นท่อน้ำประปา
ข้อต่อ รองเท้า และกรวยจราจร เป็นต้น
4. โพลีเอทิลีนความหนาแน่นต่ำ (Low-density polyethylene : LDPE) หากนำไปรีไซเคิลก็จะได้กระเป๋า
น้ำยาประสานคอนกรีต ท่อ และแผ่นฟิล์ม เป็นต้น
5. โพลีโพรพิลีน (Polypropylene : PP) เมื่อนำไปรีไซเคิลก็จะได้กล่อง
กระถางต้นไม้ ถังหมัก และแผ่นกรุผนัง เป็นต้น
6. โพลีสไตรีน (Polystyrene : PS) นำมารีไซเคิลเป็นไม้สังเคราะห์
กรอบรูป เครื่องใช้สำนักงาน ช้อน ไม้บรรทัด เป็นต้น
7. พลาสติกอื่นๆ (Other) พลาสติกประเภทนี้สามารถนำไปผสมกับพลาสติกชนิดอื่นๆ
แล้วรีไซเคิลเป็นท่อ น็อต ล้อ พาเลท และเฟอร์นิเจอร์ใช้กลางแจ้ง เป็นต้น
การแยกขยะพลาสติกเพื่อนำไปรีไซเคิลอาจเพิ่มขั้นตอนในการใช้ชีวิตยุ่งยากมากขึ้น แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับมานั้นคุ้มเกินคาด และสร้างประโยชน์ได้ใหม่มากกว่าทำลายโลก นี่คือเหตุผลว่า “ทำไมถึงต้องแยกขยะพลาสติกก่อนทิ้ง”