เทรนด์โลกมุ่งสู่ Circular Economy ธุรกิจไทยควรปรับตัวอย่างไร?
สหภาพยุโรป (อียู) นับเป็นอีกกลุ่มประเทศที่มีการกำหนดนโยบายในการลดขยะพลาสติก
ลดการฝังกลบขยะ (Landfill) และเพิ่มปริมาณการรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่
สะท้อนให้เห็นว่า “ระบบเศรษฐกิจแบบวงรอบ” หรือ “ระบบเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน” (Circular
Economy) ได้ถูกผลักดันอย่างจริงจังทั้งจากภาครัฐและภาคธุรกิจมาตั้งแต่ปี
2018 ได้ประกาศใช้ “2018 Circular Economy Action Package” ครอบคลุมเป้าหมายและนโยบายในการลดขยะพลาสติก
การลดการฝังกลบขยะ และเพิ่มปริมาณการรีไซเคิล
ระบบเศรษฐกิจแบบหมุนเวียนจะถูกนำมาแทนที่ระบบเศรษฐกิจแบบเดิม
(Linear Economy) ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการ “ใช้
(ทรัพยากร) - ผลิต - ทิ้ง” (Take-Make-Dispose)
ซึ่งระบบเศรษฐกิจแบบหมุนเวียนจะเข้ามามีบทบาทในอนาคตของภาคธุรกิจ ในการสนับสนุนการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน
ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่สำคัญของโลก
ในเมื่อประเทศอียูและชาติมหาอำนาจโลกกำลังให้ความสำคัญยิ่งยวดกับระบบเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน
ทำให้ภาคธุรกิจไทยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกลับมาทบทวนกระบวนการดำเนินงานของบริษัทตนเอง
และเตรียมพร้อมเพื่อก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตสินค้าให้ตรงกับชาติมหาอำนาจ
ตลอดทั้งการบริการให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ดังกล่าว ที่มุ่งให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุ การออกแบบผลิตภัณฑ์ การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ในกระบวนการที่เกี่ยวข้องตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ เพื่อทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นำมาสู่การปราศจากของเสียก่อมลพิษทั้งกระบวนการของสินค้าและบริการครบวงจร
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โมเดลธุรกิจสู่ Circular Economy
สำหรับภาคธุรกิจไทยที่จะปรับตัวเข้าสู่
Circular Economy โดยเริ่มจากการทบทวนห่วงโซ่คุณค่า (Value
Chain) ของตนเอง การตั้งวิสัยทัศน์ของธุรกิจในการตอบสนองต่อ Circular
Economy เรียนรู้ที่จะนำโมเดลธุรกิจและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการนำไปประยุกต์ใช้
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ประกอบด้วย
1. Circular Design มุ่งเน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ให้มีอายุการใช้งานยาวนาน
ผู้ใช้สามารถซ่อมแซม อัพเกรด ปรับปรุง หรือตกแต่งใหม่ได้ รวมถึงออกแบบให้เอื้อต่อการนำผลิตภัณฑ์ไปรีไซเคิลได้ง่ายหลังจากที่ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว
ซึ่งโมเดลธุรกิจในรูปแบบดังกล่าวต้องอาศัยการวางแผนเชิงกลยุทธ์ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า
เพื่อเพิ่มโอกาสในการนำผลิตภัณฑ์หรือชิ้นส่วนของผลิตภัณฑ์ไปใช้ซ้ำให้ได้มากที่สุด
2. Circular Supplies นำวัสดุจากการรีไซเคิล
วัสดุชีวภาพ (Bio-based materials) และวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมดมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต
เพื่อลดการใช้ทรัพยากรในการผลิตและลดการเกิดของเสีย ตลอดจนการใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิต
ปัจจุบันโมเดลธุรกิจในรูปแบบดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากและมีการนำไปใช้อย่างแพร่หลายในธุรกิจขนาดใหญ่แล้ว
เช่น IKEA Sweden ได้เริ่มจำหน่ายผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้และขวดพลาสติก
PET รีไซเคิล
รวมถึงการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมเป็นพลังงานหลักใน IKEA Store ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
3. Product as a service โมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นการนำผลิตภัณฑ์หรือสินค้ามาให้บริการในรูปแบบการเช่าหรือ
“การจ่ายเมื่อใช้งาน” (pay-for-use) แทนการซื้อขาด
ซึ่งเป็นการลดภาระผู้ซื้อในการดูแลรักษาผลิตภัณฑ์
ขณะเดียวกันเป็นการช่วยลดการซื้อที่ไม่จำเป็น และทำให้เกิดการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
4. Sharing Platform มุ่งเน้นการใช้และแบ่งปันทรัพยากรร่วมกัน
เพื่อการใช้ผลิตภัณฑ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยธุรกิจที่นำ Sharing
Platform ไปใช้ เช่น บริการแบ่งปันพื้นที่หรือสถานที่ทำงานร่วมกัน
การเช่าพื้นที่ระยะสั้น การเช่าเครื่องมือหรืออุปกรณ์ หรือบริการร่วมเดินทางที่ให้ผู้โดยสารใช้รถร่วมกัน
เพื่อลดปัญหาการจราจร การปล่อยมลภาวะ และการใช้พื้นที่ในการจอดรถ
5. Resource Recovery การออกแบบให้มี
“ระบบนำกลับ” (take-back system) ในกระบวนการเพื่อนำวัตถุดิบเหลือใช้
ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่ถูกกำจัด ซึ่งยังสามารถใช้งานได้กลับเข้าสู่กระบวนการใหม่
เพื่อลดการเหลือทิ้งให้มากที่สุด
การนำเทคโนโลยีประยุกต์ใช้สอดคล้องธุรกิจ
ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจ และการสร้างระบบนิเวศของ
Circular Economy ทั้งในการสนับสนุนโมเดลธุรกิจในข้างต้น
การก่อให้เกิดการสื่อสารในช่องทางใหม่ๆ การพัฒนากระบวนการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
โดยใช้ทรัพยากรที่ลดลง ได้แก่
Digital Technologies บริหารจัดการข้อมูลและการสื่อสาร เช่น Big
data, Blockchain และ Internet of Things (IoT) เป็นต้น
ได้ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยในการติดตามข้อมูลการใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์
ซึ่งทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงโมเดลธุรกิจ Sharing
Platform ก็ใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มด้วยเช่นกัน
Physical Technologies เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของวัสดุและพลังงาน เช่น
เทคโนโลยี 3D-printing Nanotechnology สามารถช่วยในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแรงทนทาน
และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ จึงลดการเกิดของเสียในกระบวนการ ขณะที่เทคโนโลยี Robotics
ทำให้การผลิตมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ช่วยลดค่าใช่จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
Biological Technologies ด้านโครงสร้างทางชีวภาพ เช่น Bio-energy
Bio-based materials Hydroponics สามารถนำมาใช้พัฒนาวัสดุทดแทนที่มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค
ช่วยให้ธุรกิจลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
เทคโนโลยีในกลุ่มนี้จึงมีบทบาทในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีนัยสำคัญ
นับวันโมเดลธุรกิจและเทคโนโลยีเหล่านี้ที่ทั่วโลกที่นำมาใช้กับภาคธุรกิจและจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ
รวมถึงมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริม Circular
Economy ได้เริ่มถูกนำมาใช้แล้วเช่นกัน
ด้วยความเชื่อมั่นว่ารูปแบบธุรกิจและเทคโนโลยีเหล่านี้ จะช่วยสร้างมูลค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
นำไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืนไปพร้อมกับการที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศไทยจึงไม่ควรมองข้ามประเด็นดังกล่าวว่าเป็นเรื่องอยู่ไกลตัวอีกต่อไป
แต่จำเป็นต้องเตรียมพร้อมและปรับตัวเพื่อก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ เพื่อแสวงหาโอกาสจากความท้าทายเศรษฐกิจยุคใหม่เติบโตไปกับทั่วโลกอย่างยั่งยืนและมั่นคงของธุรกิจ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://www.set.or.th