คำว่ารักษ์โลกไม่ใช่เพียงกระแสฉาบฉวยอีกต่อไป เพราะรัฐบาลได้กำหนดให้ในวันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นวันแรกที่ประชาชนไทยต้องยกเลิกการใช้พลาสติก 4 ชนิด คือ ถุงพลาสติกหูหิ้วที่มีขนาดความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน (ถุงหูหิ้วก๊อบแก๊ป) กล่องโฟมบรรจุอาหาร แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และหลอดพลาสติก ซึ่งเป็นไปตามโรดแม็ป 12 ปี ในการกำจัดขยะพลาสติก ที่รัฐบาลกำหนดไว้นับตั้งแต่ปี 2561-2573
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยในปีแรก เริ่มในปี 2561
ไทยสามารถลดและยกเลิการใช้พลาสติก 3 รายการ
คือ พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม พลาสติกที่ผสมสารอ็อกโซ่
และไมโครบีทที่ใช้ในเครื่องสำอางค์ต่างๆ ไปได้สำเร็จ
และเมื่อเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจที่
"พะยูนมาเรียม" ต้องตายจากภาวะช็อกจากที่มีถุงพลาสติกหลายชิ้นไปอุดตันในลำไส้เมื่อเดือนสิงหาคม
2562 ยิ่งกลายเป็นการตอกย้ำสังคมเกี่ยวกับปัญหาขยะพลาสติก ที่หลุดรอดลงไปในทะเลสร้างความเสียหายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลมากขึ้น
ไทยในฐานะประเทศที่ทิ้งขยะในทะเลเป็นอันดับ
6 ของโลกรองจากจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ศรีลังกา
ต้องเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อเอาจริงในการแก้ไขปัญหานี้ เพราะในแต่ละปีคนไทยสร้างขยะเฉลี่ยคนละ
1.1 กิโลกรัมต่อวัน รวมถึงทั้งสิ้น 27 ล้านตันต่อปี ซึ่งในจำนวนนี้มีขยะ 7 แสน -1
ล้านตันที่ถูกทิ้งลงในทะเล
ทั้งนี้
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักได้ประสานไปยังกลุ่มผู้ประกอบการทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้พลาสติก
4 ชนิด
เพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายโรดแมปที่ว่าในปี 2563 จะสามารถลดการใช้ถุงในห้างโมเดิร์นเทรดได้ร้อยละ
30 หรือ 13,500 ล้านใบ
จากนั้นจะทยอยลดการใช้ในส่วนร้านค้าโชวห่วย และตลาดสด ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ
70 ลงในปี 2564 พร้อมกับการลดปริมาณการใช้กล่องโฟม แก้วที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง
และหลอดให้ลดลงร้อยละ 50 ภายในปี 2563 และหมดไปในปี 2565
อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งในมุมมองภาคธุรกิจ ทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้พลาสติกในสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมพลาสติก ยังมีความกังวลว่าการดำเนินการตามโรดแม็ป อาจจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่ยังปรับตัวไม่ทัน เพราะพลาสติกชนิดอื่นที่จะนำมาแทนอาจมีราคาสูงกว่า 2-3 เท่า
ในมุม "นายภราดร จุลชาต"
ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ยอมรับว่าเทรนด์การเลิกใช้พลาสติกชนิดบางแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
แต่ทำอย่างไรจะสร้างโอกาสทางธุรกิจ เช่น
การเลิกใช้ถุงหูหิ้วก็อบและหันมาใช้ถุงพลาสติกชนิดอื่น
ถือเป็นการปรับวิกฤติให้เป็นโอกาสให้ผู้ผลิตถุงขยะ หรือถุงที่มีขนาดมากกว่า 80-100
ไมครอน รวมถึงบรรจุภัณฑ์ชีวภาพชนิดต่างๆ ได้มีช่องทางเติบโต
อย่างไรก็ตาม
ต้องยอมรับว่าการก้าวข้ามจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐ
เริ่มจากการรวบรวม บริหารจัดการคัดแยกขยะที่เป็นมาตรฐาน รวมถึงไปจนถึงการกำจัดขยะ
เช่น การตั้งโรงปุ๋ยหมัก และการใช้นโยบายการส่งเสริม
Circular
Economy
ทั้งหมดนี้
หัวใจสำคัญที่สุดที่จะเป็นการสร้างความสมดุลในการดูแลเรื่องขยะพลาสติก
รัฐและเอกชนควรทำงานคู่ขนานกันไป
โดยรัฐต้องกำหนดนโยบายที่ชัดเจนและให้เวลาเอกชนปรับตัว
ขณะเดียวกันจะต้องช่วยดูแลการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตพลาสติกทดแทนไม่ให้สูงจนกลายเป็นภาระของผู้ใช้
ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการก้าวสู่จุดมุ่งหมายได้