ในหน่วยงานที่มีคนปฏิบัติงานจำนวนมาก
ย่อมนำมาซึ่งความแตกต่างมากมาย ทั้งพื้นฐานครอบครัว สังคม สิ่งแวดล้อม ทัศนคติ
แต่ทว่ากลับมีคนทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
ทำให้องค์กรสามารถฝากความหวังไว้กับเขาเหล่านั้นได้
ทราบหรือไม่ว่าเพราะอะไร? นั้นเพราะเขาเหล่านั้นต่างมีเป้าหมายในการทำงาน ที่สำคัญโดยส่วนใหญ่มีความเป็นมืออาชีพสูง โดยใช้งานพิสูจน์ความสามารถคน สำคัญคนที่มีทัศนคติที่ไม่ดีในการทำงาน นี่คือโอกาสเริ่มต้นใหม่ ช่วงเวลาที่คุณจะได้พิสูจน์ความเป็นมืออาชีพของตัวเอง โดยการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด โดยหลักการทำงานแบบมืออาชีพนี้ต้องเรียนรู้ 5 ข้อนี้ เพราะมันเป็นนิสัยที่ผู้ประสบความสำเร็จระดับโลกล้วนทำกัน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
กล้าเผชิญหน้ากับความยากลำบาก
สิ่งสำคัญที่คุณต้องทำอย่างแรกคือ สร้างนิสัยของความกล้าขึ้นมาในจิตใจ
บอกตัวเองเสมอว่างานทุกงานบนโลกใบนี้ไม่มีงานไหนที่คุณทำไม่ได้
ไม่ว่างานนั้นจะหนักหรือยากเท่าไหร่ สุดท้ายมันจะมีทางออกเสมอ
ขอแค่คุณไม่เกี่ยงงานที่ทำ คุณจะได้ประสบการณ์ที่มากกว่าใคร
และได้รับบทบาทสำคัญในอนาคตอย่างแน่นอน คนประสบความสำเร็จบนโลกใบนี้หลายต่อหลายคนที่ล้วนแล้วแต่มีช่วงเวลาที่ยากลำบากกันทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็น
- ผู้พันแซนเดอร์ส จาก KFC
ที่เคยถูกปฏิเสธสูตรไก่ทอดจากร้านอาหารต่างๆ มากกว่าพันครั้ง
- Walt Disney ที่เคยถูกไล่ออกจากที่ทำงาน
ด้วยเหตุผลว่าเขาขาดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
- Albert Einstein ที่เคยพูดไม่ได้จนถึง
4 ขวบ และอ่านหนังสือไม่ออกจนถึง 7 ขวบ
แต่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ
มุ่งมั่นทุ่มเทให้กับการทำงาน
นิสัยสำคัญของคนทำงานมืออาชีพกับพนักงานทั่วไป คุณสามารถวัดได้ง่ายๆ จากการทุ่มเท เอาใจใส่ในการทำงาน
บางคนอาจจะทำงานพอให้เสร็จๆ ไป ทำให้ส่งๆ ไป ซึ่งประเภทนี้คุณจะเจอบ่อยมาก
และมักสร้างปัญหาให้เกิดในอนาคต
รวมถึงต้องมานั่งแก้ไขกันทีหลังเสียเวลาเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีก
ซึ่งถ้าคุณสามารถทำทุกอย่างด้วยความมุ่งมั่น
ใส่ใจ ทุ่มเทให้มันออกมาดีที่สุดแต่แรกได้ ทุกคนก็จะไม่เดือดร้อน
รวมถึงตัวคุณเองด้วย เพราะการทำงานจริงเราต้องประสานงานกับหลากหลายฝ่าย ถ้าคุณพลาด
ฝ่ายอื่นที่รับไม้ต่อก็จะแย่ การผิดพลาดในการทำงานยิ่งลดมันน้อยลง
หรือไม่ทำให้มันเกิดขึ้นมากที่สุดยิ่งดี
นิสัยแบบนี้ผู้ประสบความสำเร็จอย่าง Lyndon Baines Johnson อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
คนที่ 36 เคยทำให้เราเห็นแล้วจากการทำงานของเขาวันละไม่ต่ำกว่า
10 ชั่วโมง เพื่อทุ่มเทให้งานต่างๆ ออกมาดีที่สุด
ปฏิเสธสิ่งที่ไม่ดี
เลือกทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์
งานบางอย่างก็ไม่ได้สร้างคุณค่าให้กับตัวคุณ
มีแต่จะทำให้คุณเสียเวลาในแต่ละวันมากขึ้นไปเท่านั้นเอง เช่น ถ้าคุณเป็นพนักงานบัญชี
แต่ถูกขอให้ขับรถส่งของให้
ก็คงไม่ได้นำทักษะความชำนาญการนี้มาใช้ประโยชน์ในสายงานอย่างแท้จริง
ดังนั้นก่อนจะยื่นมือรับงานไหน ควรเลือกก่อนเสมอ อะไรที่ไม่ส่งผลดีกับตัวคุณเอง
ให้ปฏิเสธมันซะ
ความกล้าในการปฏิเสธเองก็เป็นหนึ่งในนิสัยของพนักงานมืออาชีพเช่นกัน
และเลือกทำเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์กับคุณเท่านั้น
เหมือนอย่างที่ Charles Darwin เลือกจะมุ่งเรียนด้านวิทยาศาสตร์จนกลายเป็นนักวิทย์ระดับโลก
แทนที่จะเอาดีด้านการแพทย์ตามรอยครอบครัวของตน หรืออย่างที่ Warren Buffett
เลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเองแบบไม่ลังเล
โฟกัสและใส่ใจกับงานแค่ทีละ 1-2 อย่าง
เราถูกปลูกฝังว่าจะต้องเติบโตและสามารถทำงานได้อย่างหลากหลาย
หรือที่เรียกว่า Multitask คือ
ทำทุกอย่างในเวลาเดียวกัน เพื่อให้งานเสร็จได้ไวและราบรื่น
แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่คือกระบวนการทำงานที่ผิด
สมองของมนุษย์เราไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่จะสามารถประมวลทุกอย่างให้เสร็จพร้อมกันหมดได้
แต่การดึงเอาประสิทธิภาพของสมองมาใช้ได้ดีที่สุด
คือการจดจ่อและโฟกัสทำให้เสร็จทีละอย่างต่างหาก นี่เป็นการทำงานแบบมืออาชีพที่คุณต้องเรียนรู้เอาไว้
เพื่อไม่ให้ตัวเองพลาดกลายเป็นคนทำงานดูเหมือนเร็วแต่เสร็จช้า
แถมออกมาไม่มีคุณภาพอีกด้วย
แนวคิดความเป็นมืออาชีพนี้ Timothy Ferriss
เจ้าของหนังสือ The 4-Hour Workweek ทำน้อยแต่รวยมาก
ได้ออกมายืนยันผ่านประสบการณ์ความเป็นมืออาชีพของเขาเองในทุกๆ วันที่ตื่นนอน
เพราะเขาจะคิดเสมอว่าจะไม่ทำตัวเองให้เป็น Multitask เด็ดขาด
เพราะงานที่ได้จะไม่มีประสิทธิภาพอะไรเลย เขาจึงตั้งเป้าให้ตัวเองทำอะไรมากสุดทีละ
2 อย่างเท่านั้น
ผูกมิตร สร้างคอนเนคชั่น
ความเป็นมืออาชีพอย่างสุดท้ายในการทำงานคือ
คุณต้องใส่ใจ และใส่ใจความรู้สึกของเพื่อนร่วมงานให้มากที่สุด
เพราะเขาเหล่านั้นนอกจากจะเป็นผู้มีพระคุณที่คอยช่วยเหลือคุณได้ในอนาคตแล้ว
พวกเขายังจะคอยชี้แนะในสิ่งต่างๆ ให้คุณกลายเป็นคนที่ดี
ที่เก่งยิ่งขึ้นกว่าเดิมได้ในเวลาอันรวดเร็ว การสร้างสัมพันธ์อันดีกับทุกคนรอบตัว
ใช้เวลากับพวกเขา สร้างคอนเนคชั่นเอาไว้ เป็นหนทางที่สำคัญของคนทำงานมืออาชีพ
ที่จะช่วยให้ชีวิตการงานต่อจากนี้ไปของคุณราบรื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แม้แต่สตีฟ จอบส์ ผู้บริหาร Apple เองยังยืนยันกับสื่อต่างๆ อยู่เสมอว่า เขามักจะใช้วันหยุดในการทบทวนชีวิตของตัวเอง และใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ รอบตัว รวมถึงครอบครัว คนรัก เพื่อรีเฟรชทุกอย่างให้ดี พร้อมสำหรับการทำงานในวันต่อไป