ปรากฏการณ์ Big move เกิดขึ้นในธุรกิจร้านอาหารหลายระลอกตลอดรอบปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะดีลการเข้าซื้อแบรนด์ดังของกลุ่มทุนใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นไทยเบฟเวอเรจ,สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ที่ต่างเร่งขยายพอร์ตร้านอาหารเต็มที่รวมถึงทุนเดิมในตลาดที่เข้าช้อนซื้อแบรนด์ต่างๆเข้ามาเติมแบบรุก
เช่น เซน คอร์ปอเรชั่น ที่มีฐานจากร้านอาหารญี่ปุ่นแบรนด์เดียวแต่ขณะนี้มีร้านในอาหารในมือถึง
11
แบรนด์ เป็นต้น
สถานการณ์เช่นนี้กดดันและสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดของรายใหญ่ที่ปักหลักในธุรกิจร้านอาหารมายาวนาน ไม่ว่าเอ็มเคหรือไมเนอร์ ที่ขณะนี้ต่างเร่งปรับยุทธศาสตร์เพื่อรักษาความแข็งแกร่ง และตั้งรับกับการเข้ามาของกลุ่มทุนใหม่ๆอย่างเต็มกำลัง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
Minor เปิดเกมบุกเดลิเวอรี่
บริษัท ไมเนอร์
อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) เป็นเจ้าของแบรนด์ร้านอาหารตะวันตกทั้งในเซกเม้นต์แคชชวลไดนิ่ง
เช่น ซิซซ์เลอร์ ,เดอะ พิซซ่า คอมปะนี,สเวนเซ่นต์ และบริการด่วน (QSR) อย่างเบอร์เกอร์
คิง,,แดรี่
ควีน โดยมีจำนวนสาขาทั้งหมด ณ สิ้นปี 2561 รวม 1,500 สาขา นอกจากนี้ยังมีสาขาของร้านอาหารที่ร่วมทุนอย่างเอสแอนด์พี
13 แบรนด์ จำนวน 509 สาขา โดยในปีที่ผ่านมามีรายได้จากกลุ่มธุรกิจอาหาร 21,736
ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจของเครือไมเนอร์ล่าสุดมุ่งไปที่การเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเจนใหม่ เช่น
การพัฒนาแอปพลิเคชัน 1112Delivery
ที่สามารถสั่งอาหารได้ทุกแบรนด์ร้านอาหารในเครือ
7 แบรนด์จากเดิมให้บริการเดลิเวอรี่ผ่านคอลล์เซ็นเตอร์ 1112 และเว็บไซต์
นอกจากนี้ยังร่วมกับ แกร็บฟู้ด
ให้บริการจัดส่งสินค้าแบรนด์เดอะ พิซซ่า,สเวนเซ่นส์ ซิซซ์เล่อร์ แดรี่ควีน เบอร์เกอร์คิง
และ เดอะ คอฟฟี่ ซึ่งทั้งแอป 1112Delivery และแกร็บฟู้ด
นั้นเป้าหมายอยู่ที่การสร้างความแข็งแกร่ง การครอบคลุมพื้นที่ให้กว้างขึ้นและตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัล
ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็วในการสั่งซื้ออาหาร อย่างไรก็ตามการขยายสายังเป็นแผนที่ไมเนอร์ฯ
ต้องสานต่อ เพื่อให้เกิดการใช้บริการแบบไร้รอยต่อ โดยมีเป้าหมายที่ 8-10% ต่อปี
พิซซ่าไม่พอ ขอชิงตลาดไก่ทอด 1.7 หมื่นล้าน
ไก่ทอดเป็นเซกเม้นต์ใหญ่ในตลาดร้านอาหารจานด่วนที่มีมูลค่าสูงสุดกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท โดยเคเอฟซีครองส่วนแบ่งตลาดถึง 65% ซึ่งที่ผ่านมามีแบรนด์ที่พื้นฐานแน่นอย่าง เท็กซัส ชิคเก้น ซึ่งอยู่ในเครือบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) เข้ามาเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคตั้งแต่ปี 2558 ขณะนี้มีสาขาราว 20 แห่ง
ขณะที่ก่อนการมาถึงของเท็กซัส ชิคเก้น ต้องยอมรับว่าไก่ทอด “บอนชอน”ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นแบรนด์จากเกาหลีมีสไตล์การปรุงและรสชาติต่างจากแบรนด์จากตะวันตก และจังหวะการเข้ามาอยู่ในช่วงกระแสนิยม K-pop และซีรี่ส์เกาหลีพุ่งถึงขีดสุด ทำให้คนรุ่นใหม่เปิดรับสินค้าต่างๆจากเกาหลีได้ง่าย ซึ่งที่ผ่านมาบอนชอนมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและขณะนี้มี 40 สาขา
ล่าสุดเครือไมเนอร์ตัดสินใจรุกเข้าชิงในตลาดไก่ทอดผ่านแบรนด์ “บอนชอน” ด้วยการเทกโอเว่อร์บริษัท ชิคเก้น ไทม์ จำกัด ที่ได้สิทธิ์ทำตลาดบอนชอนในไทย โดยลงทุนครั้งนี้กว่า 2,000 ล้านบาท และในตลาดไก่ทอดนี้ทำให้ไมเนอร์จะต้องเข้ามาเป็นคู่แข่งกับเคเอฟซี ซึ่งเป็นแบรนด์หลักของบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ที่อดีตทั้งคู่เคยพิพากกันในส่วนของแบรนด์ “พิซซ่า ฮัท” กระทั่งไมเนอร์ต้องหันมาสร้างแบรนด์เป็นของตัวเองคือ “เดอะพิซซ่า” และสามารถขึ้นเป็นผู้นำในตลาดพิซซ่าได้สำเร็จ
MK กระชับติดชีวิตคนเมือง
สำหรับเครือเอ็มเค เรสโตรองต์ นอกจากจะให้ความสำคัญกับการขยายสาขาของแบรนด์หลักอย่างเอ็มเค
ซึ่งช่วงสิ้นปี 2561 เอ็มเค สุกี้มี 438 สาขาแบ่งเป็น
เอ็มเค โกล์ด 6 สาขาและเอ็ม เค ไลฟ์ 4 สาขารวม
448 สาขา ขณะที่ยาโยอิมี 184 สาขา
ส่วนแบรนด์อื่นๆอีก 43 สาขา
ขณะเดียวกันกลยุทธ์อีกหนึ่งเป็นแนวรบ คือการขยายพอร์ตในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเพิ่มความหลากหลายผ่านการสร้างแบรนด์ใหม่ๆขึ้นเอง ล่าสุดมีการเปิดตัว“เอ็มเค
ฮาร์เวสต์” ร้านขายขนมและเครื่องดื่มชูจุดเด่นด้วยการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติและความหลากหลาย
เช่น ไอศกรีมโฮมเมด,วาฟเฟิลผลไม้,พาร์เฟต์บัวลอยโฮมเมดและชา กาแฟ
นอกจากนี้เอ็มเคพยายามเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภครุ่นใหม่ให้มากขึ้น เช่นการร่วมกับพันธมิตรอย่างแกร๊ปให้บริการสั่งอาหารผ่านแอพพลิเคชั่นแกร็บ ฟู้ดได้ตั้งแต่กันยายนที่ผ่านมา หรือการพัฒนารูปแบบใหม่ “New Concept Store” เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ใช้ชีวิตคนเดียวมากขึ้น รวมถึงคนโสดที่เพิ่มขึ้น และโอกาสที่จะรับประทานอาหารเป็นครอบครัวมีน้อยลงด้วยบริการ“หม้อเดี่ยว”(Individual Pot) ใน 2 เซตคือสุกี้รวมมิตร 199 บาทและพรีเมียม 229 บาท โดยเสิร์ฟพร้อมชุดผักพิเศษในปริมาณพอเหมาะสำหรับการรับประทานคนเดีย วนอกจากนี้ยังเพิ่มปลั๊ก USB สำหรับชาร์จไฟและWIFI ฟรี
ลดความเสี่ยง มุ่งเติมพอร์ตต่อเนื่อง
จากสถานการณ์การแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารที่ร้อนแรงขึ้นทุกขณะประกอบกับตลาดอาหารประเภทสุกี้เริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว
ทำให้เอ็มเคจำเป็นต้องลดความเสี่ยงจากการที่รายได้ผูกขาดอยู่กับธุรกิจเดียว
โดยเอ็มเคตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นครั้งแรกของการขยายฐานธุรกิจออกจากร้านอาหารด้วยการร่วมกับเซนโค กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด บริษัทโลจิสติกส์จากญี่ปุ่น ซึ่งมีประสบการณ์สูงด้านการขนส่งสินค้าแบบเย็น (Cold Chain) ครบวงจรด้วยรถควบคุมอุณหภูมิตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นรายแรกในไทยที่ให้บริการดังกล่าว เอ็มเคใช้งบลงทุนครั้งนี้ 1,500 ล้านบาท
นอกจากนี้เอ็มเคได้ปรับกลยุทธ์การขยายพอร์ต จากการสร้างแบรนด์ใหม่มาสู่การซื้อแบรนด์เดิมในตลาดเป็นครั้งแรกด้วยงบประมาณกว่า
2,000 ล้านบาท เพื่อถือหุ้นใหญ่ใน “แหลมเจริญซีฟู้ด” ซึ่งมี 25 สาขา ที่ผ่านมาแหลมเจริญยังมีอุปสรรคด้านการขยายสาขา
เนื่องจากเป็นอาหารทะเลต้องให้ความสำคัญกับความสดของวัตถุดิบ แต่ข้อดีคือการแข่งขันในตลาดร้านอาหารทะเลในพื้นที่ศูนย์การค้ามีน้อยมาก
ซึ่งเอ็มเคจะเข้ามาปิดจุดอ่อนนี้ได้ด้วยธุรกิจใหม่อย่างธุรกิจขนส่งสินค้าแบบเย็น
นอกจากนี้เอ็มเคยังได้ร้านอาหารในเครือแหลมเจริญ อย่าง The cape by แหลมเจริญ ที่รองรับกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กลง เช่น 1-2 คน จากเดิมที่ร้านแม่นั้นเสิร์ฟอาหารชุดใหญ่จานใหญ่ และ Laem Charoen Home Cafe ร้านสไตล์ฟิวชัน นั่งกินดื่มแบบชิลๆ เน้นตอบโจทย์กลุ่มพนักงานออฟฟิศ ซึ่งบริการเมนูหลักของแหลมเจริญด้วยเช่นกัน