‘Sleep Market’ ตลาดของคนนอนไม่หลับ
คืออะไร? เบื้องต้นอยากให้ลองดูข้อมูลจากการสำรวจโดยกระทรวงสาธารณสุข พบคนไทย 30% หรือประมาณ 19 ล้านคน
นอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่งโมง
ซึ่งสอดคล้องกับประชากรโลกที่มีชั่วโมงการนอนหลับใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้ข้อมูลการสำรวจผู้คนใน 5
ประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง สิงค์โปร์ มาเลเซีย และประเทศไทยของกลุ่มบริษัทเอไอเอ พบว่าคนไทย
61% นอนหลับเพียง 6 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น โดย 55%
ของคนกลุ่มนี้กังวลว่าจะนอนไม่พอและต้องหาเวลาในการนอนมากขึ้น
อีกส่วนรู้สึกไม่พอใจกับคุณภาพการนอนของตนเอง และ 73%
รู้สึกว่าการได้นอนเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั่วโมง
ช่วยให้มีอารมณ์ดีและกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ “ปัญหาการนอน” เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพตามมา ไม่ว่าจะเป็นอาการหลงลืม เบลอ สมองไม่แล่น อ่อนเพลีย ง่วงนอนตลอดเวลา ไม่สดชื่น และคนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามสัญญาณเตือนเริ่มต้นของสุขภาพ และคิดว่าเกิดจากความเครียดสะสมจนกลายเป็นความเจ็บป่วยด้วยหลายโรค เช่น โรคร่างกายขาดออกซิเจนอ่อนเพลีย ความจำเสื่อม โรคซึมเศร้า ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคหัวใจวาย โรคปอดอักเสบ และอัมพฤกษ์ อัมพาตและอีกหลายโรคตามมา
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สถิติของ RAND Corporation ชี้ให้เห็นว่า
คนที่มีเวลานอนในแต่ละวันน้อยกว่า 6 ชั่วโมง
จะต้องสูญเสียเวลาในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เท่ากับการหยุดงานไปเป็นเวลา 6
วันต่อปี นั้นหมายความว่า การนอนที่ไม่เพียงพอ นอกจากจะผลเสียต่อสุขภาพแล้วยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลง
นั่นหมายถึงผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในทางอ้อมได้อีกด้วย การนอนเป็นเรื่องสำคัญและเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาด
เพราะหากมีสุขภาพดีจากการนอน ประสิทธิภาพของคนก็จะเพิ่มขึ้น ปัญหาสุขภาพลดลง
คุณภาพชีวิตไม่ดี นำไปสู่การไร้เสถียรภาพด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ส่งผลให้ปัญหาการนอนไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป
จากปัญหาสุขภาพ สู่ปัญหาเศรษฐกิจทางอ้อม
ผู้เล่นในตลาดหลายรายมองเห็นโอกาสในปัญหานี้ และกระโดดเข้ามาเล่นในตลาดคนนอนไม่หลับ
หรือ “Sleep Market” กลายเป็นตลาดที่มีโอกาส
ไม่ว่าจะเป็นสินค้าและบริการช่วยเรื่องการนอน เผยในปี 2019
อุตสาหกรรมที่ช่วยเรื่องการนอนไม่หลับในตลาดโลกมีมูลค่าโดยรวมราว 2.4 ล้านล้านบาท
อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริม มีมูลค่าอยู่ที่ 2.1 ล้านล้านบาท กลุ่มเทคโนโลยีเครื่องนอนและแอปพลิเคชั่นที่ช่วยเรื่องการนอนหลับมีมูลค่าอยู่ที่
0.3 ล้านล้านบาท
คาดว่าตลาดรวมปี 2030 จะมีมูลค่าเป็น
4.2 ล้านล้านบาท ด้วยการเติบโตเฉลี่ยปีละไม่น้อยกว่า 7.1% ระหว่างปี 2020-2030
ปัจจุบันกลุ่มบริษัทใหญ่ๆ ที่เข้ามาทำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริม
ที่ช่วยเรื่องการนอนหลับ ตัวอย่างเช่น Sanofi บริษัทวิจัยและผลิตยาจากประเทศฝรั่งเศส, Merck & Co บริษัทยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา, Pfizer บริษัทวิจัยและผลิตยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นต้น
นายธนา ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ อมาโด้
(amado) กล่าวว่า ‘ตลาดนอนไม่หลับ’
ในประเทศไทยเดิมจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้สูงวัยอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
แต่ปัจจุบันเริ่มขยายวงกว้างออกไปในกลุ่มคนทำงานและวัยรุ่น
เนื่องด้วยสังคมไทยไหลเข้าสู่วิถีชีวิตเร่งรีบมากขึ้น
เผชิญกับความกดดันทางสังคมและเศรษฐกิจมากขึ้น
ในขณะที่คนไทยตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น
ประกอบกับตลาดนี้ในประเทศไทยเริ่มตื่นตัว ส่งผลให้ยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก
โดยเฉพาะสินค้าประเทศวิตามินอาหารเสริมเพื่อช่วยเรื่องการนอน
สินค้าในกลุ่มสมุนไพรและสารสกัดจากธรรมชาติ ประกอบกับผู้บริโภคไทยฉลาดซื้อมากขึ้น
มองหาสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ปลอดภัยเชื่อถือได้
โดยจะเลือกสินค้าที่มีเครื่องหมาย อย. หาข้อมูลสินค้าและสรรพคุณอย่างละเอียดก่อนซื้อมากขึ้น
นับว่าตลาดนี้มีความน่าสนใจมาก เพราะจากข้อมูลที่เสนอมาทั้งหมดจะเห็นว่า ‘การนอนไม่หลับ’ ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนวัยทำงานอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในสังคมเมืองที่มีแรงกระตุ้นในด้านต่างๆ จนทำให้นอนหลับยาก อย่างไรก็ตามสำหรับตลาดนี้จะถือว่าใหม่นักก็ไม่ใช่ เพราะปัจจุบันมีสินค้าในตลาดที่กล่าวอ้างสรรพคุณทำให้นอนหลับได้สนิทอยู่มากพอสมควร ทั้งผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตไทยและการนำเข้าจากต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงควรศึกษาเทรนด์ใหม่ๆ ของตลาดให้มากขึ้น รวมทั้งอาจจะแตกไลน์สินค้าในกลุ่มคนรักสุขภาพ กลุ่มสูงอายุ กลุ่มผู้หญิงที่มีความเฉพาะมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการไปแข่งในตลาดใหญ่ที่มีคู่แข่งมากมาย
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
วิกฤตแรงงานไทย ขาดทักษะที่เท่าทันกับยุคสมัยใหม่
เมื่อ PEPSI ออกอาวุธหนักสู้ Coke ทุกมิติหวังทวงคืนเจ้าตลาด