Care Economy เจาะช่องว่างตลาดผู้สูงอายุ ที่ SME ต้องจับตามอง

SME Series
22/12/2025
รับชมแล้วทั้งหมด 1 คน
Care Economy เจาะช่องว่างตลาดผู้สูงอายุ ที่ SME ต้องจับตามอง
banner

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ประมาณ 13.99 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 21.58 ของจำนวนประชากรทั้งหมด

ในขณะเดียวกัน การอยู่อาศัยของผู้สูงอายุก็กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทยของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า จากจำนวนผู้สูงอายุทั้งหมด มีผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพังกับคู่สมรสถึงร้อยละ 22.6 และมีผู้สูงอายุอยู่คนเดียวร้อยละ 12.9 ซึ่งหมายความว่ามีผู้สูงอายุหลายแสนคนที่ต้องใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่มีคนดูแลใกล้ชิดในบ้านเดียวกัน

สถิติเหล่านี้สะท้อนมากกว่าปัญหาสังคมแบบดั้งเดิม แต่คือช่องว่างทางการตลาด (Market Gap) ขนาดใหญ่ที่ยังไม่มีใครตอบโจทย์ได้ครบ ทั้งด้านเทคโนโลยีและการดูแลแบบมีมนุษยสัมพันธ์ ในขณะที่เทคโนโลยีเฝ้าระวังอย่าง Smart Watch, Sensor และระบบ AI สามารถช่วยตรวจจับเหตุฉุกเฉินได้ดี แต่ก็ยังขาดการเชื่อมต่อกับบริการดูแลมนุษย์ที่ตอบโจทย์เชิงอารมณ์และความปลอดภัย

บทความนี้จะมาวิเคราะห์โมเดลธุรกิจแบบ Hybrid (Tech + Touch) ที่สามารถเข้าไปเติมเต็มช่องว่างของการดูแลผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่คนเดียวได้อย่างเป็นระบบ พร้อมชี้โอกาสสำหรับ SME ในยุค Care Economy


ทำไม “Aging in Place” ถึงเป็นเมกะเทรนด์ที่ใหญ่กว่าบ้านพักคนชรา?

ก่อนจะไปพูดถึงโซลูชันหรือโมเดลธุรกิจใด ๆ สิ่งสำคัญคือการเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของผู้สูงอายุและครอบครัว เพราะการตัดสินใจเรื่องการดูแลในช่วงบั้นปลายของชีวิต ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเหตุผลด้านต้นทุนหรือความสะดวกเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับความรู้สึก ความผูกพัน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้ง

จากจุดนี้เอง ทำให้แนวคิด Aging in Place หรือการดูแลผู้สูงอายุที่มุ่งสนับสนุนให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหรือชุมชนเดิมของตนเองได้อย่างปลอดภัย เป็นอิสระ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี กลายเป็นฐานของ Care Economy ในยุคสังคมผู้สูงอายุ

Insight ผู้สูงอายุ: รักบ้าน แต่ก็กลัวเหตุฉุกเฉิน

จากงานวิจัยด้านสังคมผู้สูงอายุทั่วโลก พบข้อมูลที่สอดคล้องกันอย่างชัดเจนว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่ต้องการย้ายออกจากบ้านของตัวเอง แม้ลูกหลานจะเสนอทางเลือกที่ดูปลอดภัยกว่าอย่างบ้านพักคนชรา เหตุผลเพราะ

  • บ้านคือพื้นที่ของความทรงจำและอัตลักษณ์ 

  • ต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่อยากอยู่ในระบบรวมศูนย์

  • ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองหมดประโยชน์หรือเป็นภาระ

แต่ในขณะเดียวกันก็มีความกลัวลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ คือ ถ้าเราเป็นผู้สูงอายุอยู่คนเดียวแล้วล้ม หมดสติ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉินแล้วไม่มีใครรู้ จะทำอย่างไร?

และนี่คือช่องว่างสำคัญที่ Care Economy ต้องเข้าไปตอบ

Insight ลูกหลาน: มีเงิน แต่ไม่มีเวลา

ในฝั่งของลูกหลาน ซึ่งมักเป็นผู้จ่ายเงินให้กับบริการดูแลผู้สูงอายุ ยินดีจ่ายเพื่อซื้อความปลอดภัยและความอุ่นใจ แต่ไม่สามารถดูแลพ่อแม่ได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมงเพราะมีภาระหน้าที่ของตนเอง กระนั้นก็มีความรู้สึกผิดผสมกับความกังวลใจอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น โจทย์ของตลาดจึงไม่ใช่แค่การดูแลผู้สูงอายุ แต่ยังต้องช่วยแบ่งเบาภาระทางใจของลูกหลานด้วย


เมื่อ Tech อย่างเดียว “เย็นชา” เกินไป และ Human อย่างเดียวก็ “แพง” เกินไป

หากมองตลาดปัจจุบัน จะพบว่าโซลูชันดูแลผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักไปสุดโต่งคนละด้าน ดังนี้

1. Tech-Driven อย่างเดียว

  • กล้องวงจรปิด มีภาพ แต่ไม่มีใครดูจริงจัง

  • อุปกรณ์แจ้งเตือน ดังแล้วเงียบ ไม่มีคนรับผิดชอบต่อ หากผู้ได้รับสัญญาณไม่เห็นแจ้งเตือน

  • แอปพลิเคชันด้านสุขภาพ ข้อมูลเยอะ แต่ไม่มีการแปลผลเชิงปฏิบัติ

2. Human-Driven อย่างเดียว

  • การจ้างพยาบาลมาเฝ้า 24 ชั่วโมง ต้นทุนสูงมาก มีค่าใช้จ่ายแฝงและข้อจำกัดหลายด้าน

  • บริการดูแลถึงบ้านอย่างเต็มรูปแบบ รองรับผู้ใช้บริการได้จำกัด และมีต้นทุนสูงในระยะยาว

ผลลัพธ์คือผู้สูงอายุไม่สบายใจ ส่วนลูกหลานก็สบายใจได้ไม่สุด อย่างไรก็ดี มีโมเดลหนึ่งที่เริ่มพิสูจน์แล้วในต่างประเทศ ได้แก่ แนวคิด Human-in-the-Loop ซึ่งเป็นการออกแบบระบบที่ให้เทคโนโลยีทำหน้าที่เฝ้าระวัง แต่ให้มนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจและลงมือช่วยเหลือ โดยมีโครงสร้างพื้นฐานดังนี้

  • AI / Sensor / Wearable ตรวจจับความผิดปกติ

  • ระบบประมวลผลและแจ้งเตือนศูนย์กลาง

  • คนจริง (Call Center หรือทีมฉุกเฉิน) เข้าช่วยเหลือทันที


3 โอกาสทางธุรกิจสำหรับ SME (Tech x Service)

เมื่อมอง Care Economy ผ่านเลนส์ธุรกิจ จะเห็นชัดว่าความต้องการของผู้สูงอายุและครอบครัวไม่ได้อยู่ที่อุปกรณ์หรือแอปพลิเคชันเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ระบบบริการที่ทำให้เทคโนโลยีเหล่านั้นมีความหมายในชีวิตจริง โอกาสของ SME จึงเป็นการนำ Tech ที่มีอยู่แล้วมาประกอบเป็นบริการที่แก้ปัญหาได้จริง ใช้งานได้จริง และสร้างรายได้ต่อเนื่อง

1. The Connected Health Service บริการเฝ้าระวังสุขภาพผ่านอุปกรณ์สวมใส่

ปัจจุบัน ผู้สูงอายุจำนวนมากเริ่มมี Smart Watch หรืออุปกรณ์สวมใส่ด้านสุขภาพอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Apple Watch, Samsung, Garmin หรือสายรัดสุขภาพราคาประหยัดที่สามารถวัดชีพจร การเคลื่อนไหว และตรวจจับการล้มได้ แต่ปัญหาคือ ข้อมูลที่ได้จากอุปกรณ์เหล่านั้นไม่ได้ถูกแปลงมาเป็นการดูแลที่เกิดขึ้นจริง

ช่องว่างทางธุรกิจของ SME จึงอยู่ที่การทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ระหว่างข้อมูลสุขภาพกับการลงมือช่วยเหลือ เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์มกลางที่สามารถดึงข้อมูลจากอุปกรณ์หลายแบรนด์ มาประมวลผลด้วยเกณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะ เมื่อพบความผิดปกติ ระบบแจ้งลูกหลาน ติดต่อผู้สูงอายุโดยตรง หรือประสานทีมช่วยเหลือฉุกเฉินทันที

ในมุมธุรกิจ รายได้ไม่ได้มาจากการขายอุปกรณ์ แต่เกิดจากการขาย “ความอุ่นใจ” ในรูปแบบบริการเฝ้าระวังต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับโมเดลสมัครสมาชิกรายเดือนหรือรายปี โดย SME สามารถขยายฐานลูกค้าได้โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนบุคลากร

2. The Smart Guardian Home บ้านอัจฉริยะเพื่อผู้สูงอายุ ที่ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว

หนึ่งในความกังวลของผู้สูงอายุอยู่คนเดียว คือเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นภายในบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงอย่างห้องน้ำหรือห้องนอน ขณะที่โซลูชันอย่างกล้องวงจรปิดก็สร้างความรู้สึกไม่สบายใจและละเมิดความเป็นส่วนตัว ทำให้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่ยอมใช้งาน

โอกาสของ SME จึงอยู่ที่การออกแบบระบบ Smart Home ที่ “เฝ้าระวังแต่ไม่เฝ้ามอง” เช่น การใช้ Motion Sensor หรือ Radar Sensor ที่ตรวจจับรูปแบบการเคลื่อนไหวผิดปกติ โดยไม่บันทึกภาพหรือเสียง ระบบลักษณะนี้ช่วยให้ครอบครัวรับรู้ความเสี่ยงได้โดยไม่กระทบศักดิ์ศรีและความเป็นส่วนตัวของผู้สูงอายุ

สิ่งที่ทำให้โมเดลนี้กลายเป็นธุรกิจไม่ใช่แค่การติดตั้งอุปกรณ์ แต่คือการให้บริการครบวงจร ตั้งแต่การสำรวจพื้นที่บ้าน ออกแบบตำแหน่งเซนเซอร์ การดูแลระบบหลังการขาย ไปจนถึง Call Center ที่มีหน้าที่ติดตามและประเมินสถานการณ์เมื่อระบบแจ้งเตือนผิดปกติ รายได้จึงเกิดจากทั้งค่าอุปกรณ์เริ่มต้นและค่าบริการดูแลระบบรายเดือน ซึ่งช่วยให้ธุรกิจมีรายได้ระยะยาวและคาดการณ์ได้

3. Specialized Mobility บริการรับ-ส่งผู้สูงอายุแบบ Door-to-Door

การเดินทางไปโรงพยาบาลเป็นหนึ่งใน Pain Point ของผู้สูงอายุที่อยู่ลำพัง แม้จะมีบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันจำนวนมาก แต่บริการเหล่านั้นก็ถูกออกแบบมาเพื่อ “การเดินทาง” เท่านั้น ไม่ใช่ “การดูแลผู้สูงอายุจึงยังต้องพึ่งพาลูกหลานหรือคนใกล้ชิดอยู่เสมอ

โมเดล Specialized Mobility เปิดโอกาสให้ SME พัฒนาบริการรับ-ส่งผู้สูงอายุแบบเฉพาะทาง โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยเบื้องหลัง เช่น ระบบจองที่ใช้งานง่าย ระบบติดตามตำแหน่งแบบเรียลไทม์ให้ครอบครัวดูได้ แต่หัวใจของบริการอยู่ที่ฝั่งมนุษย์ คือคนขับที่ผ่านการอบรมด้านการดูแลผู้สูงอายุ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และ Service Mind ในการช่วยพาเดินไปส่งถึงจุดหมายจริง 

ในส่วนของรายได้ บริการลักษณะนี้สามารถตั้งราคาต่อเที่ยว หรือพัฒนาเป็นแพ็กเกจเหมาจ่ายรายเดือนสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลเป็นประจำ ซึ่งตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้และครอบครัวที่ต้องการความแน่นอนและความสบายใจ

Case Study: ต้นแบบความสำเร็จด้าน Care Economy จากต่างประเทศ

ก่อนจะมองหาโอกาสใหม่ในตลาด Care Economy สิ่งที่ SME ควรทำคือการศึกษาต้นแบบที่พิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง ในประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมาก่อนประเทศไทย โดยกรณีศึกษาต่อไปนี้สะท้อนให้เห็นว่า ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จไม่ได้เริ่มจากเทคโนโลยีที่ล้ำที่สุด แต่เริ่มจากการเข้าใจพฤติกรรมและข้อจำกัดของผู้สูงอายุอย่างลึกซึ้ง

SECOM (ญี่ปุ่น) ที่พัฒนาจากบริษัท รปภ. สู่บริการดูแลผู้สูงอายุผ่านเซนเซอร์ 

SECOM เป็นตัวอย่างขององค์กรที่สามารถแปลงความเชี่ยวชาญเดิมให้ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุได้อย่างแนบเนียน เดิมที SECOM คือบริษัทด้านความปลอดภัยและระบบรักษาความปลอดภัยในอาคาร แต่เมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ บริษัทได้ต่อยอดเทคโนโลยีเซนเซอร์และระบบมอนิเตอร์ที่มีอยู่ ไปสู่บริการดูแลผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ลำพัง โดยการออกแบบระบบเฝ้าระวังพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น หากระบบตรวจพบว่าผู้สูงอายุไม่ออกจากห้องน้ำเป็นเวลานานผิดปกติ หรือรูปแบบการเคลื่อนไหวเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ศูนย์ควบคุมจะได้รับสัญญาณทันที และมีเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกอบรมเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์จริง

GoGoGrandparent (สหรัฐอเมริกา) ตัวกลางเชื่อมเทคโนโลยีกับผู้สูงอายุที่ไม่ถนัดดิจิทัล

GoGoGrandparent แสดงให้เห็นอีกมุมหนึ่งของ Care Economy ที่น่าสนใจ นั่นคือ การไม่พยายามบังคับให้ผู้สูงอายุเรียนรู้เทคโนโลยี แต่เลือกออกแบบบริการให้สอดคล้องกับพฤติกรรมที่คุ้นเคยอยู่แล้ว โดยธุรกิจนี้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง Uber หรือ Lyft กับผู้สูงอายุที่ไม่สามารถหรือไม่ต้องการใช้สมาร์ตโฟน

ผู้สูงอายุสามารถโทร. ผ่านระบบมือถือปกติเพื่อเรียกรถ แล้วระบบของ GoGoGrandparent จะทำหน้าที่ประสานงานกับแพลตฟอร์มเรียกรถแทนทั้งหมด พร้อมทั้งส่งข้อมูลการเดินทางให้ลูกหลานสามารถติดตามได้แบบเรียลไทม์ ผลลัพธ์คือผู้สูงอายุได้รับความสะดวกในการเดินทาง ขณะที่ครอบครัวได้รับความสบายใจโดยไม่ต้องอยู่ดูแลใกล้ชิดตลอดเวลา


สิ่งที่ SME ต้องระวังเมื่อเข้าสู่ตลาด Care Economy

แม้ Care Economy จะเป็นตลาดที่เติบโตเร็วและมีความต้องการชัดเจน แต่ก็เป็นตลาดที่มีความเปราะบางสูงเช่นกัน กล่าวคือ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจกระทบทั้งความปลอดภัยของผู้ใช้บริการและความเชื่อมั่นของครอบครัว ดังนั้น SME ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดนี้จำเป็นต้องเข้าใจข้อควรระวังต่าง ๆ ตั้งแต่ต้น

UX/UI Design ต้องออกแบบมาเพื่อผู้สูงอายุจริง ๆ 

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยคือการนำมาตรฐาน UX/UI สำหรับผู้ใช้ทั่วไปมาใช้กับผู้สูงอายุโดยตรง ทั้งที่พฤติกรรมการใช้งาน ความสามารถทางสายตา การได้ยิน และความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีแตกต่างกันอย่างมาก การออกแบบบริการสำหรับดูแลผู้สูงอายุจึงต้องลดภาระการเรียนรู้ให้มากที่สุด และทำให้การใช้งานเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ

ตัวอย่างหลักการที่มักถูกนำมาใช้ ได้แก่

  • ตัวอักษรและปุ่มกดขนาดใหญ่ อ่านง่าย

  • ขั้นตอนการใช้งานน้อย ไม่ต้องตัดสินใจหลายชั้น

  • การสื่อสารด้วยเสียงที่ชัดเจน และภาษาที่ตรงไปตรงมา

Trust & Safety ความน่าเชื่อถือของพนักงานที่เข้าไปให้บริการในบ้าน 

ในบริการที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและพื้นที่ส่วนตัวที่ผู้สูงอายุอยู่คนเดียว ความน่าเชื่อถือคือเงื่อนไขพื้นฐาน SME จึงต้องให้ความสำคัญอย่างมากกับกระบวนการคัดเลือกพนักงาน การตรวจสอบประวัติ การฝึกอบรม และการกำหนดขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่ทำให้ลูกหลานตัดสินใจยอมให้ใครสักคนเข้ามาดูแลพ่อแม่ของตนเองได้อย่างสบายใจ 

บทสรุป: เทคโนโลยีคือเครื่องมือ แต่การดูแลคือผลิตภัณฑ์

Care Economy ไม่ใช่สนามแข่งขันของแอปพลิเคชันที่ล้ำที่สุด หรืออุปกรณ์ที่วัดข้อมูลได้ละเอียดที่สุด หากแต่เป็นสนามที่ตัดสินกันที่ความสามารถในการ “แปลงเทคโนโลยีให้กลายเป็นการดูแลที่ผู้คนรู้สึกได้จริง” สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ลำพัง 

ท้ายที่สุด SME ที่จะชนะใน Care Economy คือผู้ที่สามารถสร้างความไว้วางใจในระยะยาว ทำให้ทั้งผู้สูงอายุและครอบครัวรู้สึก ปลอดภัย ไม่โดดเดี่ยว และมั่นใจว่าการดูแลจะไม่หยุดอยู่แค่การแจ้งเตือนบนหน้าจอ เมื่อเทคโนโลยีถูกใช้ในฐานะ “เครื่องมือ” และการดูแลถูกออกแบบให้เป็น “ผลิตภัณฑ์หลัก” ธุรกิจในตลาดนี้จึงไม่เพียงเติบโตได้จริง แต่ยังเติบโตไปพร้อมกับสังคมผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน


ข้อมูลอ้างอิง

  1. สถิติผู้สูงอายุ กันยายน 2568. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 จาก https://www.dop.go.th/th/statistics_page?cat=1&id=2578

  2. บ้านนี้มีแต่ผู้สูงอายุ. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 จาก https://www.theprachakorn.com/newsDetail.php?id=1012

  3. New AARP Report: Majority of Adults 50-plus Want to Age in Place, But Policies and Communities Must Catch Up. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 จาก https://press.aarp.org/2024-12-10-New-AARP-Report-Majority-Adults-50-plus-Age-Place-Policies-Communities-Catch-Up

  4. Recent Canadian surveys indicate that more than 80% of older adults prefer to age in place and pay for support as needed. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 จาก https://www.nicenet.ca/articles/aging-in-place.

  5. The Meaning of “Aging in Place” to Older People. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 จาก https://www.researchgate.net/publication/51702716_The_Meaning_of_Aging_in_Place_to_Older_People

  6. The Future of Senior Care: What to Expect in 2025 and Beyond. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 จาก https://arhomecare.com/the-future-of-senior-care-what-to-expect-in-2025-and-beyond.  

  7. Elderly Care Statistics. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 จาก https://www.rosewood-nursing.com/post/elderly-care-statistics


Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน1333


Related Article

โครงสร้าง Holding Company สำหรับธุรกิจครอบครัว — วางแผนภาษีอย่างมืออาชีพ

โครงสร้าง Holding Company สำหรับธุรกิจครอบครัว — วางแผนภาษีอย่างมืออาชีพ

ธุรกิจครอบครัวจำนวนมากเริ่มต้นจากสิ่งเดียวกัน คือ ความตั้งใจที่จะสร้างความมั่นคงให้คนในครอบครัวบางกิจการเริ่มจากร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียนเล็กๆบางกิจการเริ่มจากร้านจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักเล็กๆ ต้นทุนหลักสำคัญของธุรกิจครอบครัวในช่วงเริ่มต้นคือความร่วมแรงร่วมใจของสมาชิกในครอบครัว…
pin
2 | 24/12/2025
ภาษีธุรกิจครอบครัว 101 — โครงสร้างที่ SME ต้องรู้ก่อนเติบโต

ภาษีธุรกิจครอบครัว 101 — โครงสร้างที่ SME ต้องรู้ก่อนเติบโต

หลายธุรกิจเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นที่จะทำตามความฝันของใครบางคน และบ่อยครั้งที่ความฝันของคนคนนั้นเริ่มต้นจากความตั้งใจง่าย ๆ คือ สร้างรายได้เพื่อเลี้ยงดูคนในครอบครัวธุรกิจจำนวนไม่น้อยจึงเริ่มต้นจากความมุ่งมั่นหัวหน้าครอบครัว…
pin
2 | 23/12/2025
Care Economy เจาะช่องว่างตลาดผู้สูงอายุ ที่ SME ต้องจับตามอง

Care Economy เจาะช่องว่างตลาดผู้สูงอายุ ที่ SME ต้องจับตามอง

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ…
pin
1 | 22/12/2025
Care Economy เจาะช่องว่างตลาดผู้สูงอายุ ที่ SME ต้องจับตามอง