ภาษีธุรกิจครอบครัว 101 — โครงสร้างที่ SME ต้องรู้ก่อนเติบโต
หลายธุรกิจเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นที่จะทำตามความฝันของใครบางคน และบ่อยครั้งที่ความฝันของคนคนนั้นเริ่มต้นจากความตั้งใจง่าย ๆ คือ สร้างรายได้เพื่อเลี้ยงดูคนในครอบครัว
ธุรกิจจำนวนไม่น้อยจึงเริ่มต้นจากความมุ่งมั่นหัวหน้าครอบครัว ก่อนจะค่อย ๆ เติบโตเป็นกิจการที่สมาชิกในครอบครัวเข้ามาร่วมสร้างและร่วมเป็นเจ้าของ จนกลายเป็นบริษัทที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นเจ้าของร่วมกันในที่สุด
เมื่อธุรกิจเดินเข้าสู่เส้นทางการค้าและการแสวงหากำไร สิ่งหนึ่งที่ทุกธุรกิจไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจนั้นๆ เพราะในความเป็นจริงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีธุรกิจจำนวนมากที่ทุ่มเททรัพยากรที่มีทั้งเงิน เวลา แรงกาย แรงใจไปกับการเดินหน้าสร้างรายได้ ขยายกิจการ แต่กลับละเลยเรื่องพื้นฐานอย่างภาษีจนก่อให้เกิดภาระที่ไม่จำเป็นและสามารถหลีกเลี่ยงได้ ความไม่เข้าใจโครงสร้างภาษีอาจแฝงอยู่ในทุกการตัดสินใจ ตั้งแต่วิธีการเลือกรับเงิน การถือหุ้น ไปจนถึงการส่งต่อกิจการให้คนในครอบครัวรุ่นถัดไป ซึ่งความเสียหายอาจเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการเสียสิทธิประโยชน์ทางภาษีบางรายการ ถูกเรียกประเมินภาษีย้อนหลัง หรือแม้แต่ถูกปรับและลงโทษจากการเสียภาษีไม่ถูกต้อง
ความไม่รู้เรื่องภาษีของบางกิจการอาจกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าของต้องตัดสินใจปิดกิจการ ทั้งที่ธุรกิจยังมีศักยภาพจะเติบโตต่อไปได้
และเมื่อธุรกิจครอบครัวกลายเป็น “สินทรัพย์สำคัญร่วมกัน” ของทุกคนในบ้าน ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัว จึงไม่ใช่เรื่องของนักบัญชีหรือนักกฎหมายเท่านั้น แต่เป็นกระดุมเม็ดแรกในการปกป้องทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดของครอบครัว
ภาษีธุรกิจครอบครัวไม่ได้มีเพียงภาษีประเภทใดประเภทหนึ่ง หากแต่เป็นระบบที่เชื่อมโยงกันระหว่างตัวสมาชิกในครอบครัว บริษัท และความสัมพันธ์ภายในครอบครัวด้วย หากเข้าใจเพียงบางส่วนโดยไม่เห็นภาพใหญ่อาจนำไปสู่ปัญหาที่แก้ไขได้ยากในอนาคต
บทความนี้จึงตั้งใจอธิบายความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับภาษีธุรกิจครอบครัวในภาษาที่เจ้าของ SME เข้าใจได้ โดยค่อยๆ ชวนเจ้าของธุรกิจครอบครัวทำความเข้าใจตั้งแต่ภาพรวมของภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัว โครงสร้างการถือหุ้นในครอบครัว ไปจนถึงความเข้าใจผิดที่พบบ่อย และกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง เพื่อให้เจ้าของธุรกิจสามารถมองเห็นภาพรวมและวางโครงสร้างได้อย่างเหมาะสมก่อนที่ธุรกิจจะเติบโตซับซ้อนเกินแก้
1. ภาพรวมของภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจครอบครัว (Family Business)
ก่อนจะพูดถึงการวางโครงสร้างหรือการวางแผนใด ๆ เจ้าของธุรกิจครอบครัวควรเริ่มจากทำความเข้าใจภาพรวมของภาษีธุรกิจครอบครัว เพราะการดำเนินธุรกิจหนึ่งๆ อาจมีภาษีที่เกี่ยวข้องหลายตัวพร้อมกันและแต่ละตัวก็มีความเชื่อมโยงกันด้วย เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีอื่นๆ แต่ในส่วนนี้จะขอเน้นเฉพาะภาษีเงินได้ที่มีความใกล้ชิดกับธุรกิจครอบครัวมากที่สุด ดังต่อไปนี้
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ธุรกิจครอบครัวมักจะใช้สมาชิกในครอบครัวดำเนินกิจการกันเอง โดยได้รับค่าตอบแทนในรูปแบบเงินเดือน โบนัส หรือเงินปันผลหุ้นที่จ่ายจากกำไรของบริษัท ซึ่งล้วนเป็นเงินได้ต้องเสียภาษีของบุคคลธรรมดาทั้งสิ้น โดยเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามรายได้ที่แต่ละคนได้รับ เช่น คนที่ได้เงินเดือนสูงกว่ามักจะเสียภาษีในอัตราที่แพงกว่าคนที่มีเงินเดือนต่ำกว่า โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะคำนวณภาษีด้วยอัตราก้าวหน้า ซึ่งเสียภาษีได้สูงสุดถึง 35%
สมาชิกในครอบครัวที่มีรายได้จะมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้ประจำปีภายในวันที่ 8 เมษายนของทุกปีผ่านช่องทางออนไลน์ของกรมสรรพากร ซึ่งอาจต้องเสียภาษีเพิ่มหรือได้เงินคืนภาษี แล้วแต่กรณี
การเข้าใจประเภทของรายได้ที่ต้องเสียภาษีและวิธีคำนวณภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมายปัจจุบันจะช่วยให้สมาชิกแต่ละคนสามารถวางแผนภาษีส่วนบุคคลเพื่อประหยัดภาษีสูงสุดได้
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
เมื่อธุรกิจครอบครัวอยู่ในรูปแบบบริษัทจึงมีสถานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากออกมา บริษัทจึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยปกติจะเสียภาษีในอัตราสูงสุด 20% จากกำไรสุทธิ และมีความจำเป็นต้องวางระบบบัญชีที่ชัดเจน ตรวจสอบได้เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบจากทั้งบุคคลภายนอก (ผู้สอบบัญชีหรือเจ้าพนักงานสรรพากร) และบุคคลภายใน (ผู้ถือหุ้นและสมาชิกในครอบครัว) รวมถึงเสียภาษีได้อย่างถูกต้องเหมาะสมด้วย ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานสำคัญของการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน
การวางแผนภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่ธุรกิจครอบครัวบางรายพยายามลดกำไรของบริษัทให้ต่ำที่สุดโดยการดึงค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท หรือจ่ายค่าตอบแทนให้สมาชิกในครอบครัวในอัตราที่สูงเกินจริง แนวทางที่มองเผิน ๆ อาจดูเหมือนช่วยลดภาระภาษีได้ในระยะสั้น แต่ในความเป็นจริงกลับสร้างความเสี่ยงในระยะยาว ทั้งในแง่การตรวจสอบภาษีและการประเมินมูลค่าธุรกิจในอนาคต
สาเหตุอาจเกิดได้จากความเข้าใจผิดที่หลายครอบครัวลืมแยกบทบาทระหว่าง “สมาชิกในครอบครัว” กับ “คนทำงานจริง” ให้ชัดเจน ทำให้บางครอบครัวเลือกจ่ายเงินเดือนให้สมาชิกในครอบครัวในอัตราที่ไม่สอดคล้องกับหน้าที่จริง หรือมีการนำเงินจากบัญชีของบริษัทมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวโดยไม่บันทึกให้ถูกต้อง พฤติกรรมเหล่านี้อาจส่งผลให้ระบบบัญชีผิดเพี้ยน มีความเสี่ยงถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลัง และอาจทำให้สมาชิกในครอบครัวบางคนต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงขึ้นโดยไม่จำเป็นด้วย
ดังนั้น การทำบัญชีชุดเดียวจึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจครอบครัวเติบโตได้อย่างยั่งยืน
การหักภาษี ณ ที่จ่าย
ทุกครั้งที่บริษัทจ่ายเงินให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นค่าบริการ ค่าที่ปรึกษา เงินเดือน ค่าเช่า เงินรางวัล ฯลฯ ค่าใช้จ่ายแทบทุกรายการ (ยกเว้นค่าซื้อสินค้า) กฎหมายจะกำหนดให้ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อนเสมอแล้วนำส่งกรมสรรพากรภายในเดือนถัดไป รวมถึงออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) ให้ผู้รับเงินด้วย
ในทางปฏิบัติพบว่ามีหลายบริษัทลืมเรื่องหักภาษี ณ ที่จ่าย จึงเผลอจ่ายเงินไปเต็มจำนวน ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากไม่ได้วางระบบบัญชีไว้อย่างชัดเจนและรัดกุมแต่แรก อาจส่งผลให้บริษัทถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังค่าปรับในภายหลังได้
ในทางกลับกัน หากเป็นผู้รับเงินเดือน ค่าบริการ ค่าที่ปรึกษา ฯลฯ ผู้รับอาจถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ ซึ่งผู้รับควรทวงถามหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) ด้วย เพื่อเป็นหลักฐานสำหรับการยื่นภาษีประจำปีต่อไป
ภาษีเงินปันผล
เงินปันผลคือเงินที่จ่ายจากส่วนแบ่งกำไรหลังเสียภาษีของบริษัท โดยผู้มีสิทธิได้รับคือผู้ถือหุ้น ซึ่งในกรณีของธุรกิจครอบครัวมักจะเป็นสมาชิกในครอบครัว โดยแต่ละคนจะได้รับเงินปันผลตามสัดส่วนการถือหุ้น ณ เวลาที่บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผล
การจ่ายเงินปันผลเป็นวิธีการดึงกำไรออกจากบริษัทไปให้สมาชิกในครอบครัวที่ตรงไปตรงมาที่สุด อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าเงินปันผลหุ้นนี้เมื่อจ่ายถึงมือผู้ถือหุ้นแล้วก็จะกลายเป็นเงินได้ของผู้ถือหุ้นที่ต้องนำไปเสียภาษีโดยตรงในนามบุคคลธรรมดาอีกทีด้วย ซึ่งจะต้องโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% แต่สามารถเลือกได้ว่าจะนำไปยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีและรับเครดิตภาษีเงินปันผลจากหุ้น หรือจะปล่อยให้ภาษี ณ ที่จ่าย 10% นี้เป็น final tax โดยไม่ต้องนำไปยื่นภาษีประจำปีก็ได้ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ผู้ถือหุ้นสามารถตัดสินใจวางแผนภาษีได้เองว่าวิธีไหนให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดีกว่า
อย่างไรก็ตาม กฎหมายยังกำหนดเพิ่มเติมด้วยว่ากรณีที่ผู้ถือหุ้นเป็นผู้เยาว์แล้วได้รับเงินปันผลหุ้น เงินปันผลนั้นก็จะกลายเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีของพ่อหรือแม่แล้วแต่กรณีด้วย
การตัดสินใจว่าบริษัทควรให้สมาชิกในครอบครัวซึ่งมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นด้วยเลือกรับรายได้ในรูปแบบเงินเดือนหรือเงินปันผล จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของความสะดวก แต่เป็นเรื่องของการวางแผนภาษีในมิติภาพใหญ่ของทั้งครอบครัว การจ่ายปันผลโดยไม่วางแผนภาษีเลยอาจทำให้ภาษีโดยรวมสูงกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่สามารถบริหารภาษีให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ได้
ภาษีจากการโอนหุ้น
ธุรกิจเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่สามารถส่งต่อให้คนในครอบครัวได้ผ่านการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นจากคนหนึ่งเป็นอีกคนหนึ่งหรือเรียกง่าย ๆ ว่าการโอนหุ้น ซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่าน เช่น การส่งต่อกิจการให้ลูกหลาน หรือการปรับโครงสร้างบริษัท ซึ่งการโอนหุ้นก็เป็นธุรกรรมที่อาจก่อให้เกิดภาระภาษีได้เช่นกัน
การวางแผนภาษีล่วงหน้าสำหรับการโอนหุ้นจะช่วยบริหารไม่ให้ก่อให้เกิดภาระภาษีโดยไม่จำเป็น
2. ความเข้าใจเรื่อง “การถือหุ้นในครอบครัว”
การถือหุ้นเป็นมากกว่าแค่ความเป็นเจ้าของหรือผลตอบแทนทางการเงินเท่านั้น แต่เป็นการกำหนดโครงสร้างของอำนาจการตัดสินใจ ความคาดหวัง และความสัมพันธ์ภายในครอบครัวในระยะยาวได้ด้วย
ดังนั้น หลายครอบครัวที่ประสบปัญหากระทบกระทั่งด้านความสัมพันธ์ระหว่างกันมักไม่ได้เกิดขึ้นช่วงกำลังเริ่มต้นตั้งตัวหรือตอนที่ธุรกิจกำลังขาดทุน แต่มักจะเกิดตอนที่ธุรกิจครอบครัวเริ่มประสบความสำเร็จแล้ว นั่นเป็นเพราะสมาชิกแต่ละคนในครอบครัวอาจมีความคาดหวังที่แตกต่างกันและโครงสร้างการถือหุ้นของสมาชิกในครอบครัวก็อาจไม่สอดคล้องกับบทบาทที่แท้จริงของคนทำงานแต่ละคน การวางโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่ายจึงเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนได้ด้วย
ถือในนามบุคคล vs ถือในนามบริษัท
โครงสร้างการถือหุ้นที่พบได้มากที่สุดในธุรกิจครอบครัวขนาด SME คือการถือหุ้นในนามบุคคล เนื่องจากเข้าใจง่าย เริ่มต้นได้เร็ว และมีต้นทุนในการจัดการต่ำ อย่างไรก็ตาม เมื่อธุรกิจเริ่มเติบโตหรือมีการขยายกิจการหลายแขนง หรือมีนักลงทุนภายนอกเข้ามาร่วมลงทุนด้วย การถือหุ้นในนามบุคคลอาจเริ่มสร้างข้อจำกัด โดยเฉพาะในเรื่องภาษี การส่งต่อกิจการ และการบริหารความเสี่ยงส่วนตัวของผู้ถือหุ้น
บางครอบครัวเมื่อกิจการเริ่มเติบโตและต้องการสลัดภาพลักษณ์ของกิจการครอบครัวทิ้งก็อาจเลือกถือหุ้นของธุรกิจครอบครัวผ่านบริษัทโฮลดิ้งแทน ซึ่งช่วยแยกทรัพย์สินของธุรกิจออกจากตัวบุคคลได้ เพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารภาษี และเอื้อต่อการขยายกิจการในอนาคต และแน่นอนว่าโครงสร้างลักษณะนี้มักมีความซับซ้อนมากขึ้นและต้องการการวางแผนอย่างรอบคอบตั้งแต่ต้น
อย่างไรก็ตาม ไม่มีรูปแบบการถือหุ้นใดที่ดีที่สุดสำหรับทุกธุรกิจ การเลือกโครงสร้างควรพิจารณาจากขนาดกิจการ เป้าหมายการเติบโต และที่สำคัญที่สุดคือความเข้าใจของทุกคนในครอบครัวที่ร่วมกันสร้างธุรกิจมาด้วยกัน
การวางแผนปันผลให้คุ้มภาษี
การจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นจะกลายเป็นเงินได้ที่ผู้ถือหุ้นต้องนำไปเสียภาษีในนามบุคคลธรรมดา แต่เนื่องจากธุรกิจครอบครัวเกิดพื้นฐานความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเป็นเจ้าของร่วมกัน จึงมีความยืดหยุ่นมากกว่าบริษัทที่มีบุคคลภายนอกเป็นผู้ถือหุ้น
ดังนั้น เราจึงสามารถวางแผนการจ่ายเงินปันผลโดยคำนึงถึงฐานภาษีของผู้ถือหุ้นแต่ละคน เพราะสมาชิกในครอบครัวอาจมีรายได้จากแหล่งอื่นแตกต่างกัน การจ่ายปันผลโดยไม่คำนึงถึงรายละเอียดของสมาชิกแต่ละคน อาจทำให้ภาระภาษีโดยรวมของทั้งครอบครัวสูงกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่สามารถบริหารจัดการได้ดีกว่านี้
นอกจากนี้ การตัดสินใจว่าจะจ่ายเงินปันผลหรือเก็บกำไรไว้ในบริษัทต่อไป ก็เป็นอีกประเด็นที่ควรพิจารณาร่วมกันอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจอยู่ในช่วงขยายตัวและต้องการเงินทุนหมุนเวียน
การจัดสัดส่วนหุ้นเพื่อลดความขัดแย้งในอนาคต
คนจำนวนมากเชื่อว่าการจัดสัดส่วนหุ้นที่ยุติธรรมที่สุด คือ สมาชิกทุกคนถือหุ้นในสัดส่วน “เท่าๆ กัน” ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะหลายต่อหลายครั้งที่การถือหุ้นในสัดส่วนเท่ากันกลับเพิ่มความขัดแย้งภายในครอบครัว ซึ่งเป็นผลมาจากบทบาท ความรับผิดชอบ และความทุ่มเทของสมาชิกแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้น หากบางคนทุ่มเททำงานมากกว่าแต่กลับได้ผลประโยชน์เท่ากับสมาชิกที่ไม่ได้ทำอะไรเลย การถือหุ้นเท่ากันอาจกลายเป็นต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวได้ในระยะยาว
ดังนั้น การถือหุ้นในธุรกิจครอบครัวจึงไม่ใช่เพียงการแบ่งผลประโยชน์แต่เป็นการออกแบบความสัมพันธ์และทิศทางของครอบครัวในระยะยาวด้วย การจัดสัดส่วนหุ้นที่สะท้อนบทบาทจริงของแต่ละคน ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นธุรกิจหรือช่วงปรับโครงสร้างจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยสร้างความชัดเจนและลดความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน
นอกจากนี้ การมีข้อตกลงร่วมกันระหว่างผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับเงื่อนไขการตัดสินใจต่างๆ เช่น การกำหนดเรื่องที่ต้องใช้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง เรื่องที่ต้องใช้เสียง 3 ใน 4 หรือแม้แต่เรื่องที่ต้องได้รับมติเป็นเอกฉันท์ รวมถึงการป้องกันการขัดกันทางผลประโยชน์ ก็ช่วยป้องกันความขัดแย้งในอนาคตได้เช่นกัน
3. พื้นฐานที่ SME มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาษีธุรกิจครอบครัว
ปัญหาภาษีของธุรกิจครอบครัวหลายครั้งไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ แต่เกิดจากความเข้าใจผิดที่เชื่อสืบทอดกันมา โดยไม่ได้ทบทวนว่าความเชื่อเหล่านั้นยังสอดคล้องกับกฎหมายและบริบททางธุรกิจในปัจจุบันหรือไม่ เช่น การทำบัญชีสองชุดเพื่อหนีภาษี หรือเลือกสำนักงานบัญชีที่ค่าวิชาชีพถูกที่สุดหรือใกล้บ้านที่สุดโดยไม่สนใจว่านักบัญชีมีความเข้าใจธุรกิจของเราหรือไม่
ความเข้าใจผิดต่างๆ มักจะยังไม่แสดงผลร้ายในช่วงที่ธุรกิจยังเล็ก แต่มักจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ได้ยากในภายหลังเมื่อกิจการเติบโต มีมูลค่าสูงขึ้นหรือเมื่อมีเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในธุรกิจครอบครัว
การป้องกันปัญหามักมีต้นทุนต่ำกว่าการแก้ปัญหา การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นจึงเป็นวิธีการป้องกันปัญหาที่ประหยัดที่สุด
โอนหุ้นภายในบ้าน = ไม่ต้องเสียภาษี?
หลายครอบครัวอาจเข้าใจผิดว่าการโอนหุ้นกันภายในครอบครัวไม่ก่อให้เกิดภาษี เช่น พ่อโอนให้ลูก หรือพี่โอนให้น้อง ไม่ก่อให้เกิดภาระภาษี เนื่องจากเป็นเรื่องภายในครอบครัว
แต่ในความเป็นจริง การโอนหุ้นอาจมาพร้อมภาระภาษีที่หลายครอบครัวคาดไม่ถึง เช่น หากโอนให้กันระหว่างพ่อแม่ลูกโดยไม่มีค่าตอบแทนในมูลค่าที่สูงกว่า 20 ล้านบาท ผู้รับโอนก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการรับให้ในอัตรา 5% สำหรับมูลค่าหุ้นส่วนเกิน 20 ล้านบาทด้วย
หรือกรณีโอนหุ้นโดยเสียค่าตอบแทน แล้วได้รับเงินค่าตอบแทนมากกว่ามูลค่าทุนของหุ้นนั้น ผู้ขายก็มีหน้าที่ต้องนำกำไรส่วนเกินทุนนั้นไปเสียภาษีประจำปีด้วย (ซึ่งจะแตกต่างจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี)
นอกจากนี้ หากมีการโอนกันในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าตลาดโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรรองรับ เช่น ขายหุ้นให้คนครอบครัวในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดที่ควรจะเป็น อาจถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีและประเมินภาษีย้อนหลังได้ ซึ่งจะสร้างภาระทั้งด้านภาษีและความสัมพันธ์ในครอบครัวไปพร้อมๆ กัน
บริษัทแม่-บริษัทลูก ภาษีคิดอย่างไร?
โดยปกติ สถานะความเป็นบริษัทแม่-บริษัทลูก มักเกิดจากการที่มีบริษัทหนึ่งเป็นเจ้าของในฐานะผู้ถือหุ้นของอีกบริษัทหนึ่ง ซึ่งมักตามมาด้วยอำนาจในการควบคุมบริษัทลูกได้ ซึ่งบริษัทแม่อาจมีบริษัทลูกหลายแห่งได้
ทั้งนี้ กฎหมายไม่ได้ห้ามบริษัทแม่-บริษัทลูก หรือบริษัทในเครือเดียวกันทำการค้าระหว่างกัน เพียงแต่หนึ่งความเข้าใจผิดที่พบบ่อย คือการมองว่าบริษัทที่อยู่ในเครือเดียวกัน หรือเป็นบริษัทของครอบครัวเดียวกัน สามารถโอนเงินหรือทำธุรกรรมกันได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาษี
ถึงแม้ในความเป็นจริงจะเป็นบริษัทในเครือของครอบครัวเดียวกัน แต่ในทางกฎหมาย แต่ละบริษัทคือหน่วยทางธุรกิจที่ตั้งขึ้นเพื่อมุ่งทางการค้าหากำไรในรูปแบบนิติบุคคลที่แยกจากกัน ธุรกรรมระหว่างกันจึงต้องคำนึงถึงเหตุผลทางธุรกิจที่รับฟังได้ มีเอกสารหลักฐานรองรับ และมีราคาที่สมเหตุสมผลเฉกเช่นเดียวกันการทำธุรกิจกับบุคคลอื่นทั่วไป เช่น ขายสินค้าให้กันในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควรก็อาจมีการประเมินภาษีย้อนหลังได้
นอกจากนี้ หลายคนอาจเคยได้ยินว่าเงินปันผลที่บริษัทลูกจ่ายให้บริษัทแม่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีทั้งจำนวน ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่บริษัทแม่พึงได้รับตามกฎหมาย เพียงแต่ว่าการได้รับสิทธินี้บริษัทแม่จะต้องทำตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดด้วย คือ บริษัทแม่ต้องถือหุ้นในบริษัทลูกไม่น้อยกว่า 25% ของหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง โดยต้องถือหุ้นมาแล้วถึง 3 เดือนก่อนได้รับเงินปันผล และไม่ได้โอนหุ้นออกไปก่อนครบ 3 เดือนนับแต่วันได้เงินปันผลด้วย
จะเห็นได้ว่าเมื่อธุรกิจเริ่มมีหลายบริษัท ความซับซ้อนทางภาษีจะเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยิ่งต้องให้ความสำคัญกับความถูกต้องของธุรกรรมภายในกลุ่มมากกว่าที่เคย
การเก็บเอกสาร
หลายธุรกิจครอบครัวยังเชื่อว่าการมุ่งขยายธุรกิจไปข้างหน้าเป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องงานเอกสาร เอาไว้ก่อน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่มักจะพ่วงมาพร้อมกับชุดความคิดว่าพวกเราทำกันเล็กๆ ไม่ได้มีเจตนาโกง คงไม่เป็นปัญห เลยไม่ได้จัดระเบียบการเก็บเอกสารให้เป็นระบบ ซึ่งตอนจบก็มักจะเจอปัญหาเพราะเรื่องการเก็บเอกสารไม่เป็นระบบอยู่เสมอ
ในทางปฏิบัติ หากมีการตรวจสอบภาษี ทางกรมสรรพากรอาจไม่ได้เห็นด้วยกับคุณไปทุกเรื่อง การมีเอกสารต่างๆ ไว้ยืนยัน คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่ช่วยพิสูจน์ความถูกต้องให้ธุรกิจของคุณได้
การจัดระบบบัญชีและจัดการเอกสารที่ดีช่วยลดความเสี่ยงหากถูกตรวจสอบย้อนหลัง ช่วยให้การวางแผนภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้การส่งต่อกิจการในอนาคตทำได้อย่างราบรื่นมากขึ้น
โดยปกติ คดีภาษีอากรอาจมีอายุความยาวถึง 5 ปี ดังนั้น เจ้าของกิจการควรเก็บเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไว้อย่างน้อย 5 ปีเช่นกัน
ธุรกิจครอบครัวที่เติบโตอย่างยั่งยืนมักเป็นธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับเอกสารตั้งแต่ช่วงแรก แม้ในวันที่กิจการยังไม่โตมาก ดังนั้น ยิ่งช่วงแรกมีเอกสารน้อยยิ่งจัดระเบียบง่ายกว่า ซึ่งจะส่งผลให้การขอคืนภาษีของบริษัทง่ายขึ้นด้วย เพราะยังมีจำนวนธุรกรรมน้อยจึงมีเอกสารหลักฐานให้ตรวจสอบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการขอคืนภาษีหลังดำเนินธุรกิจไปหลายปีแล้ว
4. กรณีตัวอย่าง
ครอบครัวที่มีบริษัทเดียว
ธุรกิจเริ่มต้นจากพ่อเป็นผู้ก่อตั้ง ลูกๆ เข้ามาช่วยงานในฐานะคนทำงาน ทุกคนที่ทำงานในนี้ได้รับค่าตอบแทนในรูปแบบเงินเดือน และกำไรสะสมอาจจ่ายให้ผู้ถือหุ้นเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม
โจทย์สำคัญของธุรกิจแบบนี้ คือการแยกเงินของบริษัทออกจากเงินส่วนตัวให้ชัดเจน การกำหนดเงินเดือนและค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับบทบาทจริง ส่วนการจ่ายเงินปันผลหุ้นต้องวางแผนอย่างมีระบบ
เริ่มต้นจัดทำบัญชีชุดเดียว วางระบบบัญชีให้โปร่งใสและมีความชัดเจน ร่วมงานกับสำนักงานบัญชีมืออาชีพที่เข้าใจธรรมชาติธุรกิจของคุณ และพูดคุยกับสมาชิกในครอบครัวให้เรียบร้อยว่าความคาดหวังของแต่ละคนเป็นอย่างไร มีส่วนร่วมได้ระดับใด เพื่อนำไปสู่การกำหนดโครงสร้างผู้ถือหุ้นและโครงสร้างการบริหารงานที่เป็นธรรม และปกป้องธุรกิจครอบครัวซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดของทุกคนในบ้าน
ครอบครัวที่เริ่มแตกไลน์ธุรกิจ
เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้นจนเริ่มขยายไปหลายกิจการ ภาษีจะเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น หลายครั้งจึงมีความจำเป็นต้องตั้งบริษัทลูกหลายบริษัท และอาจเกิดธุรกรรมระหว่างบริษัทในเครือ การโอนทรัพย์สินระหว่างกัน รวมถึงการจ่ายเงินปันผลหุ้นให้บริษัทแม่ด้วย
โจทย์หลักของธุรกิจระดับนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่เสียภาษีให้ถูกต้อง แต่ต้องมองให้เห็นภาพรวมของทั้งกลุ่มธุรกิจและครอบครัว และต้องเริ่มสร้างระบบบริหารงานที่มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
การวางโครงสร้างที่เหมาะสมตั้งแต่ช่วงเริ่มขยายจะช่วยลดความเสี่ยงด้านภาษี ลดความขัดแย้งภายใน และทำให้การบริหารธุรกิจในระยะยาวมีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งในบทความตอนต่อไป เรามาเจาะลึกธุรกิจครอบครัวที่กำลังจะกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ เรามาทำความรู้จักกับเครื่องมืออย่าง Holding Company ว่าจะช่วยให้ประหยัดภาษีพร้อมกับมีธรรมาภิบาลได้อย่างไรบ้าง

