ข้อดีของการดำเนินธุรกิจ SME ด้วยความห่วงใยสังคม (Social Concern)
ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า “Social Enterprise” (กิจการเพื่อสังคม) ผ่านหูกันมาบ้าง โดยจะเป็นรูปแบบองค์กรที่มีภารกิจทางสังคมเป็นแกนกลาง และใช้กลไกตลาดในการขับเคลื่อน เช่น การจำหน่ายสินค้าหรือบริการเพื่อนำรายได้ไปแก้ปัญหาสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งกิจการเพื่อสังคมที่จดทะเบียนอย่างเป็นทางการในประเทศไทยจะได้รับสถานะพิเศษตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 ที่อาจนำไปสู่สิทธิประโยชน์บางประการ เช่น การลดหย่อนภาษี การเข้าถึงกองทุนสนับสนุน หรือการได้รับการรับรองจากภาครัฐ
แต่ในขณะเดียวกัน อีกหนึ่งแนวทางที่ใกล้เคียง ยืดหยุ่น และเข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการ SME ได้แก่ “Social Concern Business” หรือ การดำเนินธุรกิจด้วยความห่วงใยสังคม โดยการดำเนินธุรกิจรูปแบบนี้ไม่ได้มีการจำกัดขนาดองค์กร และไม่ต้องจดทะเบียนเป็นกิจการเพื่อสังคมอย่างเป็นทางการ แต่ก็สามารถฝังแนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคมในกระบวนการธุรกิจทุกระดับ และกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่สร้างความแตกต่างในตลาดยุคใหม่
เข้าใจพื้นฐานของ “การดำเนินธุรกิจด้วยความห่วงใยสังคม” ในบริบทของ SME
ธุรกิจห่วงใยสังคม คือ ธุรกิจที่ดำเนินงานภายใต้ Dual Mission หรือ “ภารกิจคู่” ได้แก่
การแสวงหากำไรตามเป้าหมายทางธุรกิจ (Profit)
การส่งเสริมคุณภาพชีวิต สังคม หรือสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนขึ้น (People / Planet)
แนวคิดนี้สอดคล้องกับโลกธุรกิจยุคใหม่ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับจริยธรรม ความโปร่งใส และความยั่งยืนมากขึ้น สำหรับ SME การปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวคิดนี้ไม่ได้หมายถึงการลงทุนครั้งใหญ่ แต่คือการนำทรัพยากรที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ บุคลากร หรือความเชี่ยวชาญ มาใช้สร้างประโยชน์ร่วม (Shared Benefit) ให้แก่ชุมชนรอบข้างหรือสังคมในวงกว้าง เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเป็นพลังเล็ก ๆ ที่ขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้า
ตัวอย่างเช่น
SME ผู้ผลิตอาหารในท้องถิ่นอาจเลือกใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรรายย่อยใกล้บ้าน
โรงงานขนาดเล็กอาจติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อไม่ให้กระทบสิ่งแวดล้อม
ร้านค้าปลีกอาจสร้างสรรค์แคมเปญคืนกำไรสู่ชุมชน หรือบริจาครายได้บางส่วน
“Shared Value” โมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าทางสังคม
แนวคิด “Shared Value” หรือ “การสร้างคุณค่าร่วม” คือ การออกแบบทางธุรกิจให้สามารถสร้างทั้งกำไรและผลกระทบเชิงบวกไปพร้อมกัน โดยเป็นการบูรณาการเป้าหมายทางเศรษฐกิจเข้ากับเป้าหมายทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างแนบเนียน ซึ่งแตกต่างจากแนวทาง CSR ที่มักเป็นกิจกรรมเฉพาะกิจหรือแยกออกจากแกนหลักของธุรกิจ
ในบริบทของธุรกิจที่ห่วงใยสังคม แนวคิด Shared Value สามารถแปลงให้เกิดผลลัพธ์ทั้ง 3 ด้านได้อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านกรอบแนวคิด 3P ได้แก่ Profit, Planet และ People
1. Profit (การสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืน)
ธุรกิจที่ดำเนินงานด้วยความห่วงใยสังคมไม่จำเป็นต้องลดเป้าหมายด้านผลกำไร ธุรกิจสามารถวางกลยุทธ์เพื่อให้ธุรกิจมีคุณค่ามากกว่าราคาและคุณสมบัติสินค้า จะช่วยสร้างจุดขายใหม่ (Value Proposition) และเพิ่มโอกาสในตลาด เช่น
การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ช่วยแก้ปัญหาสังคม เช่น อุปกรณ์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ และแอปพลิเคชันเพื่อผู้พิการ ผลิตภัณฑ์ปลอดสารเคมี
การต่อยอดโมเดลธุรกิจแบบแบ่งปัน เช่น Buy One Give One หรือสินค้าเพื่อการกุศล
การสร้างแบรนด์ที่มีจุดยืนด้านความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างชัดเจน เพื่อดึงดูดผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้คุณค่ากับจริยธรรม
2. Planet (ห่วงใยสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ)
ธุรกิจที่ห่วงใยสังคมสามารถมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมผ่านการปรับกระบวนการผลิตหรือซัปพลายเชนให้ยั่งยืนมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องใช้ต้นทุนสูงหรือเทคโนโลยีซับซ้อนเสมอไป ตัวอย่างเช่น
การใช้วัตถุดิบจากแหล่งที่ยั่งยืน (Sustainable Sourcing) หรือท้องถิ่น (Local) เพื่อลดการขนส่ง
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ลดการใช้พลาสติกและสามารถรีไซเคิลได้
การบริหารจัดการของเสียในโรงงานอย่างเป็นระบบ ลดการปล่อยคาร์บอนหรือการใช้น้ำเกินจำเป็น
3. People (สร้างคุณค่าร่วมกับผู้คนในระบบนิเวศธุรกิจ)
Social Concern Business ที่ดี ต้องไม่มอง “ผู้คน” เป็นเพียงผู้บริโภค แต่ควรเห็นถึงบทบาทของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น พนักงาน ซัปพลายเออร์ ชุมชน และกลุ่มเปราะบางในสังคม โดยการแสดงความใส่ใจต่อผู้คนสามารถทำได้หลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น
การให้โอกาสทางอาชีพแก่กลุ่มเปราะบางในสังคม เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้พ้นโทษ
การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เท่าเทียม มีสวัสดิการพื้นฐาน และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพนักงาน
การดำเนินธุรกิจโดยไม่เอาเปรียบซัปพลายเออร์รายย่อย โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมหรือหัตถกรรม
การจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน เช่น การจ้างงานในท้องถิ่น หรือการพัฒนาพื้นที่สาธารณะรอบโรงงาน
วิธีการเริ่มต้นธุรกิจห่วงใยสังคมในแบบของ SME
การเริ่มต้นธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยความห่วงใยสังคม สำหรับผู้ประกอบการ SME อาจไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือซับซ้อนอย่างที่หลายคนคิด เพราะไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจทั้งหมด หรือใช้งบประมาณมหาศาล แต่อยู่ที่มุมมองและแนวทางในการออกแบบการดำเนินงานให้เกิดคุณค่าร่วมระหว่างธุรกิจและสังคม ทั้งนี้ สามารถเริ่มต้นได้จากกระบวนการต่อไปนี้
1. ระบุประเด็นทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่อยากมีส่วนร่วมอย่างชัดเจน
จุดเริ่มต้นของการเป็นธุรกิจที่ห่วงใยสังคม คือการตั้งคำถามกับตัวเองว่า ธุรกิจของเราสามารถมีส่วนช่วยแก้ปัญหาใดในสังคมได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ การศึกษา สิทธิของกลุ่มเปราะบาง หรือปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดการขยะ มลพิษ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สิ่งสำคัญคือ การเลือกประเด็นที่สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญหรือบริบทของธุรกิจ เพื่อให้สามารถออกแบบแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม เช่น ธุรกิจแฟชั่นอาจให้ความสำคัญกับการลดของเสียจากการผลิต หรือถ้าอยู่ในสายอาหาร อาจเริ่มจากการสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย หรือเลือกใช้วัตถุดิบจากแหล่งปลอดภัย
2. ออกแบบสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคและสังคม
เมื่อมีเป้าหมายทางสังคมที่ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนถัดมา คือ การออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ตอบโจทย์ทั้ง ความต้องการของผู้บริโภคและคุณค่าที่ส่งต่อไปยังสังคมได้อย่างลงตัว โดยไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า อาจเลือกออกแบบสินค้าที่ประหยัดพลังงานและใช้งานง่ายสำหรับผู้สูงอายุ หากเป็นร้านอาหาร อาจออกแบบเมนูที่ใช้วัตถุดิบเหลือใช้ (Food Waste) จากแหล่งปลอดภัย หรือหากเป็นธุรกิจบริการ อาจเปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบริการผ่านโมเดลราคาที่หลากหลาย
3. วางระบบการดำเนินงานที่โปร่งใสและตรวจสอบได้
การดำเนินธุรกิจด้วยความห่วงใยสังคมต้องตั้งอยู่บนความจริงใจและความโปร่งใส โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับประเด็นละเอียดอ่อน เช่น การบริจาครายได้ การจ้างงานกลุ่มเปราะบาง หรือการใช้วัตถุดิบพิเศษ หากขาดการวางระบบที่สามารถตรวจสอบได้ ก็อาจทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกิดความไม่ไว้วางใจ และบั่นทอนความน่าเชื่อถือของธุรกิจในระยะยาวได้
4. สื่อสารอย่างมืออาชีพ และให้เกียรติผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ธุรกิจที่ดำเนินงานด้านสังคมหรือสิ่งแวดล้อมจำเป็นต้องสื่อสารอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก คนพิการ หรือผู้ยากไร้ ควรเน้นการให้เกียรติ ไม่ทำให้ผู้รับความช่วยเหลือกลายเป็นตัวละครที่น่าสงสาร แต่ควรสื่อสารในลักษณะของการร่วมพัฒนาหรือร่วมสร้างสรรค์ รวมถึงแสดงภาพความสำเร็จของโครงการในเชิงสร้างแรงบันดาลใจมากกว่าการเรียกคะแนนความเห็นใจ เช่น การเล่าเรื่องผ่านมุมมองของเด็กที่ได้รับการศึกษาจนจบแทนที่จะเน้นภาพความยากลำบาก เพื่อเป็นการให้คุณค่าแก่ผู้มีส่วนร่วมเท่ากับการให้คุณค่ากับแบรนด์ของคุณเอง
5. ประเมินผลกระทบและปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
การดำเนินธุรกิจที่ห่วงใยสังคมควรเป็นกระบวนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อสภาพแวดล้อมทางสังคมเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นในปัจจุบัน โดยการประเมินผลกระทบควรครอบคลุมทั้งในแง่ของผลลัพธ์ทางธุรกิจ และผลลัพธ์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น รายได้จากสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโครงการเพื่อสังคม จำนวนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับประโยชน์ หรือการลดการปล่อยของเสียจากการผลิต ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการเห็นแนวโน้มที่ชัดเจน และนำไปปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมขึ้นในรอบต่อไป
Case Study: ตัวอย่างธุรกิจที่นำแนวทาง Social Concern Business ไปประยุกต์ใช้
TOMS ธุรกิจรองเท้าที่เริ่มจากความห่วงใย ภายใต้โครงการ One for One
TOMS เริ่มต้นจากแนวคิด “One for One” หรือโครงการซื้อรองเท้า 1 คู่ บริจาค 1 คู่ให้แก่เด็กที่ไม่มีรองเท้าในประเทศกำลังพัฒนา ด้วยเป้าหมายในการแก้ปัญหาเด็กขาดแคลนรองเท้าและช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ จนกลายเป็นโมเดล Social Concern Business ที่โด่งดัง โดยแนวทางนี้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในโลกธุรกิจ และกลายเป็นต้นแบบให้กับแบรนด์อื่น ๆ ที่ต้องการออกแบบโมเดลธุรกิจด้วยความห่วงใยสังคมเช่นกัน
Warby Parker แบรนด์แว่นตาสัญชาติอเมริกัน เจ้าของโมเดล Buy a Pair, Give a Pair
Warby Parker แบรนด์แว่นตาสัญชาติอเมริกันที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 ไม่ได้เติบโตจากเพียงแค่การออกแบบแว่นที่สวยทันสมัยในราคาจับต้องได้เท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในแบรนด์ผู้บุกเบิกที่นำแนวคิด Social Concern Business มาใช้อย่างเป็นระบบ โดยหัวใจสำคัญของแบรนด์นี้คือโมเดล “Buy a Pair, Give a Pair” ซึ่งหมายถึง ทุกครั้งที่มีการซื้อแว่นตา 1 คู่ Warby Parker จะบริจาคอีก 1 คู่ให้ผู้ขาดแคลนในประเทศกำลังพัฒนา
บทสรุปและแนวทางสู่ความสำเร็จ
นอกจากการดำเนินธุรกิจด้วยความห่วงใยสังคมจะเป็นเครื่องมือในการแสดงจุดยืนเชิงจริยธรรมของกิจการแล้ว ยังกลายเป็นยุทธศาสตร์ที่สร้างผลลัพธ์เชิงบวกทั้งต่อธุรกิจ สังคม และระบบเศรษฐกิจในภาพรวม โดยหนึ่งในข้อดีที่เห็นได้ชัด คือ การเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความแตกต่าง และเป็นที่จดจำในใจผู้บริโภค
นอกจากนี้ แนวทาง Social Concern Business ยังช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการสนับสนุนสินค้าและบริการของธุรกิจด้วยความรู้สึกว่าการซื้อของพวกเขามีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นการรู้ว่าเงินส่วนหนึ่งจะถูกนำไปสนับสนุนโครงการเพื่อชุมชน การเลือกซื้อสินค้าจากกลุ่มคนชายขอบ หรือการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทุกการตัดสินใจซื้อจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการบริโภค แต่กลายเป็นการมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ดีขึ้นไปพร้อมกับธุรกิจ
สุดท้ายนี้ ข้อดีที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่แค่เรื่องกำไรหรือชื่อเสียง แต่คือความภาคภูมิใจของผู้ประกอบการและทีมงานที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมที่ดีขึ้น การรู้ว่าสินค้าและบริการของตนเองได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คน แม้เพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจมีความหมายยิ่งขึ้น และช่วยหล่อหลอมให้แบรนด์เติบโตภายใต้จิตวิญญาณของความรับผิดชอบร่วมที่โลกธุรกิจยุคใหม่ให้คุณค่ายิ่งกว่ากำไรทางตัวเลข
ข้อมูลอ้างอิง
พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. ๒๕๖๒ มีผลบังคับใช้แล้ว. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.sethailand.org/resource/se-act-2019/
Creating Shared Value: Explained with Examples. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 จาก https://thestrategystory.com/blog/creating-shared-value-explained-with-examples/
Creating Shared Value Explained. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.isc.hbs.edu/creating-shared-value/csv-explained/Pages/default.aspx
Social Responsibility in Business: Meaning, Types, Examples, and Criticism. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.investopedia.com/terms/s/socialresponsibility.asp
How Does TOMS Shoes Make Money? The One-For-One Business Model Explained. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 จาก https://fourweekmba.com/toms-one-for-one-business-model/
Buy a Pair, Give a Pair. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 จาก https://www.warbyparker.com/buy-a-pair-give-a-pair