ในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ The Straits Times ได้นําเสนอข่าวเรื่อง GYM-ON-WHEELS นายตัน ฮุย เลง (Mr. TAN Hui Leng Ace) ผู้ฝึกสอนมวยไทยชาวสิงคโปร์ดําเนินธุรกิจแบบ one-man-show ให้บริการ “มวยไทยเคลื่อนที่” ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วสิงคโปร์ และได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนท้องถิ่น ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยภูมิหลังของนายตันฯ อายุ 46 ปี
เคยเรียนมวยไทยในสิงคโปร์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และเมื่อเดือนธันวาคม 2561
ได้เดินทางมารับการอบรมหลักสูตรมวยไทยโบราณของสมาคมครูมวยไทย
จนได้รับประกาศนียบัตรครูมวยไทย ระดับผู้ช่วยครู ชั้น 11 (Trainer) จากนายชินวุธ ศิริสัมพันธ์
นายกสมาคมครูมวยไทย
นายตันฯ เคยประกอบธุรกิจกล้องวงจรปิด CCTV แต่ด้วยอุปสงค์ที่ลดลงจึงเปลี่ยนมาทําธุรกิจ “Fitstop” ภายใต้แนวคิด “Gym-on-Wheels” หรือ ยิมมวยไทยเคลื่อนที่ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 45,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 1 ล้านบาท) เป็นค่าซื้อและดัดแปลงรถบรรทุก 40,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ และค่าออกแบบโลโก้และอุปกรณ์กีฬา 5,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ โดยนายตันฯ ตั้งใจที่จะเปิดคลาสสอนมวยไทยเคลื่อนที่ที่เข้าถึงได้ง่ายและราคาย่อมเยา (accessible and affordable)
ลักษณะธุรกิจ Fitstop รูปแบบและสถานที่
ภายหลังใช้เวลาหลายเดือนในการสํารวจสถานที่รอบเกาะสิงคโปร์
โดยสังเกตสภาพแวดล้อมที่จะไม่รบกวนการเรียนและการออกกําลังกาย
นายตันได้เลือกเปิดให้บริการมวยไทยเคลื่อนที่แบบชั้นเรียนกลุ่มใน 5
สถานที่ทั่วสิงคโปร์ ทั้งในศูนย์กีฬาและในสวนสาธารณะ ได้แก่ Jurong West
Stadium, Bishan Stadium, Khatib Court, East Cost Park และ Sengkang
Riverside Park โดยเปิดคลาสเรียนช่วงเย็นของวันจันทร์ – เสาร์
และช่วงเช้าของวันอาทิตย์ ทั้งนี้ นอกจากคลาสมวยไทยแล้ว Fitstop ยังเปิดสอนการออกกําลังกายแบบอื่นเสริมด้วย อาทิ shadow boxing,
sandbag workouts, cross-fit bas circuit training
สำหรับค่าสมาชิกและค่าเรียน
จากรายงานข่าวนายตันฯ ไม่คิดค่าสมาชิกผู้เข้าเรียนเหมือนศูนย์ฟิตเนสทั่วไป
และค่าเรียนแต่ละคลาสจะถูกกว่าศูนย์ฟิตเนสถึงครึ่งหนึ่ง
ทําให้มีผู้สนใจเข้าเรียนจํานวนมาก
ปัจจุบัน Fitstop มีผู้เข้าเรียนกว่า 100 คน ตั้งแต่อายุ 6 – 50 ปี Fitstop / Gym-on-Wheels เป็นแนวคิดทางธุรกิจที่สร้างสรรค์และสะท้อนถึงความนิยมมวยไทยในต่างประเทศ และตอบโจทย์การใช้ชีวิตของประชาชนในเมือง (รวมทั้งกรุงเทพฯ) ซึ่งประสบปัญหาไม่มีเวลาไปออกกําลังกาย หรือการจราจรติดขัดจนไม่ต้องการเสียเวลาเดินทางไปศูนย์ฟิตเนสฯ และค่าสมาชิกศูนย์ฟิตเนสฯ ในเมืองมีราคาแพง
แนวคิดดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่นักธุรกิจด้านมวยไทยของประเทศไทย
สามารถขยายโอกาสในการเปิดสอนมวยไทย หรือฝึกสอนครูมวยไทยในต่างประเทศ ในลักษณะที่เข้าถึงชุมชน
โดยอาจเริ่มจากการทดลองตัวแบบธุรกิจนี้ในกรุงเทพฯ หรือเขตเมืองในไทย ซึ่งในปัจจุบันยังไม่พบการสอนมวยไทยแบบเคลื่อนที่ที่ครบวงจรในกรุงเทพฯ
หรือในประเทศต่างๆ มากนัก นับว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจและแปลกใหม่อย่างยิ่ง
อ้างอิง : หนังสือพิมพ์ The Straits Times
: สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์
‘มวยไทย’จากเวทีผืนผ้าใบสู่เวทีธุรกิจ
วิถีชีวิตใน “ฟิตเนส” ของมนุษย์งานยุคใหม่