จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ประกอบกับภัยแล้งที่ประเทศไทยต้องเผชิญ รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า ได้ฉุดดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้ตกต่ำลงในช่วงเดือนเมษายน ตามรายงานของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ที่เปิดเผยถึงผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนเมษายน 2563 พบอยู่ที่ระดับ 47.2 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ทำการสำรวจในรอบ 21 ปี 7 เดือน ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมที่น่าจะปรับตัวเข้าสู่ภาวะถดถอยจากวิกฤตโควิด-19 ทั่วโลก อาจส่งผลกระทบในเชิงลบอย่างมากต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ด้านดัชนีความเชื่อมั่นในฝั่งธุรกิจการลงทุนนั้น
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจช่วงเดือนเมษายน
2563 (REPORT ON BUSINESS
SENTIMENT INDEX) พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจ ปรับลดลงมากจากเดือนก่อน 42.6
ลงมาอยู่ที่ 32.6 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดตั้งแต่เริ่มทำการสำรวจมาตั้งแต่
ปี 2542
โดยทุกองค์ประกอบของดัชนีฯ อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 และเป็นการปรับตัวลงในทุก sector
ซึ่งเป็นผลสะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์
COVID-19 ครั้งนี้
ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและรุนแรง
สำหรับผู้ประกอบการในภาคการผลิตมีความเชื่อมั่นด้านการผลิต คำสั่งซื้อ
และผลประกอบการอยู่ในระดับต่ำมาก
สัญญาณหลังคลายล็อกดาวน์ส่งผลไปในทางบวก
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นในฝั่งผู้บริโภคหรือการลงทุนจะสอดคล้องกับเรื่องของเศรษฐกิจการเงินของประเทศด้วย
ซึ่งผลสำรวจดังกล่าวได้บ่งชี้ถึง สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงล็อกดาวน์ที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว
โดยหลังจากรัฐบาลคลายมาตรการล็อกดาวน์ และมีการกลับมาเคลื่อนไหวกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ
มีการเริ่มกลับมารีสตาร์ทธุรกิจอีกครั้ง ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของเม็ดเงิน
จากการที่ผู้คนได้ออกมาใช้ชีวิตและมีการจับจ่ายเกิดขึ้น
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ พยากรณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวเป็นบวกได้ในไตรมาส
4 ในการคลายล็อกดาวน์รอบแรก ที่จะทำให้เม็ดเงินหมุนกลับมาในประเทศประมาณ 2,000-3,000
ล้านบาทต่อวัน หรือประมาณ 60,000-90,000 ล้านบาทต่อเดือน
และการคลายล็อกดาวน์รอบ 2 ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้
จะทำให้มีเงินเติมเข้ามาในระบบอีก 6,000-8,000 ล้านบาทต่อวัน
หรือประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อเดือน
จากมาตรการช่วยเหลือของรัฐที่จะไปช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทางด้านการลงทุน
และการใช้เงินของประชาชนทั่วไปผ่านมาตรการการช่วยเหลือต่างๆ
การล็อกดาวน์ที่ผ่านมาอันเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นตกต่ำ
ทำให้เม็ดเงินหายไปจากระบบวันละ 10,000 ล้านบาท เกิดการชะลอการจับจ่ายของประชาชนในทุกกลุ่มสินค้า
ในกลุ่มการท่องเที่ยว สินค้าจำเป็น สินค้าฟุ่มเฟือย
ซึ่งหากมีการปลดล็อกเรื่องการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด-19
ในเขตเอเชียดีขึ้น คาดว่าไตรมาส 4 นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะเริ่มกลับมา
6 ล้านคน หรือเดือนละประมาณ 2 ล้านคน
ขึ้นอยู่กับมาตรการของรัฐที่จะทำให้การท่องเที่ยวไทยฟื้นเร็วขึ้น
คาดการณ์ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าหรือประมาณเดือนกรกาคม 2563 จะอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral/ช่วงค่าดัชนี 80
- 119) เพิ่มขึ้น 42% มาอยู่ที่ระดับ 80.40
โดย
- ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนรายบุคคล บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral)
- ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ยังอยู่ใน Zone ซบเซา (Bearish)
- หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดอาหารและเครื่องดื่ม (FOOD)
- หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือนโยบายภาครัฐ
- ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการคลายมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล และปัจจัยเกื้อหนุนด้านเศรษฐกิจการลงทุนจากนโยบายภาครัฐ ตลอดจนความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยวัคซีนป้องกันและยารักษาโรคที่ได้ผล อันเป็นความหวังที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการไหล-เข้าออกของเงินทุนหรือเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ และดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคให้สูงขึ้น เพื่อให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไปจนขับเคลื่อนธุรกิจ สร้างความสะพัดของเม็ดเงินให้เกิดขึ้นในประเทศได้ต่อไป.
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
แนวโน้มธุรกิจหลังรัฐคลาย Lockdown โควิด-19
เปิดพิมพ์เขียว! มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากพิษ COVID-19