ปัจจัยด้านลบสำคัญต่อการพื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
และเศรษฐกิจทั่วโลก คือสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ในปัจจุบันที่ลุกลามไปทั่วโลก
ซึ่งนับเป็นวิกฤติการณ์ด้านสาธารณะสุขที่ยังไม่มีทีท่าจะยุติในเร็ววันนี้
ซึ่งทั้งหมดฝากความหวังไว้ที่ยาต้านไวรัส ที่นักวิจัยนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างมุ่งศึกษาเพื่อความหวังของมวลมนุษย์
อีกนัยหนึ่ง ผลกระทบจากการระบาดของโควิด 19 ไม่เพียงเป็นปัญหาด้านสาธารณะสุข ยังลุกลามไปในมิติด้านสังคม คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจของแต่ละประเทศชนิดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ผลทำให้เศรษฐกิจโลกที่เกิดภาวการณ์ชะลอตัวอยู่แต่เดิมแล้ว เมื่อเผชิญวิกฤติโควิด 19 ซ้ำหนักเข้าไปอีก กลายเป็นว่าอาจติดลบร้อยละ 3-5 ซึ่งยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ
ซึ่งปัจจุบันยังไม่สางไข้จากพิษโควิด 19 มียอดผู้ติดเชื้อสูงสุดกว่า 5 ล้านคน
และเสียชีวิตไปกว่า 1.6 แสนคน ซึ่งแม้โดยภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
แต่มีแนวโน้มว่าคงแข็งแกร่งอีกได้ไม่นานนัก หากยังไม่สามารถรับมือโควิด 19 ได้
ประเทศในยูโรโซนที่แม้ปัจจุบันมีมาตรการรับมือโควิด
19 ได้ดีพอสมควร หลังจากการใช้มาตรการเข้มข้นในการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ
ก็ส่งผลให้เศรษฐกิจภายในยูโรโซนที่แต่เดิมก็แกร่งอยู่แล้วยิ่งเกิดภาวะชะงักงันหนักเข้าไปอีก
อันส่งผลต่อกำลังซื้อภายในต่ำลงต่อเนื่อง
โดยคณะกรรมาธิการยุโรปคาดการณ์ว่า
เศรษฐกิจของภูมิภาคจะหดตัวกว่า 7.4% ในปี 2563 และกลับมาขยายตัว 6.1% ในปี 2564 นอกจากนี้อัตราการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
และตัวเลขการขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
สืบเนื่องจากมาตรการการเงินการคลังที่รัฐบาลจำเป็นต้องนำออกมาใช้เพื่อพยุงเศรษฐกิจ
ด้านเศรษฐกิจในเอเชียก็ไม่ได้ดูดีเท่าไหร่นัก
ประเทศผู้ซื้อรายใหญ่อย่างจีนก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน จากการระบาดของโควิด 19
รวมทั้งอีกหลายๆ ประเทศยังส่อเค้าการระบาดระลอก 2 ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการประเมินทิศทางอย่างมากในปัจจุบัน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าช่วงที่ผ่านมาหลายๆ
ประเทศต่างงัดสารพัดนโยบายการเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการอัดฉีดเงินในแบบต่างๆ
เข้าระบบ หรือแม้กระทั่งการให้เปล่า ซึ่งถือเป็นการจ่ายยาที่ตรงกับไข้มากที่สุด
เพราะดังที่ทราบดีว่าช่วงล็อกดาวน์ กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ หยุดชะงัก ผู้บริโภคเกิดความไม่มั่นใจในคุณภาพชีวิต
และใช้จ่ายอย่างระมัดระวังขึ้น
แม้ปัจจุบันหลายๆ
ประเทศทั่วโลกคลายล็อกดาวน์ไปแล้ว แต่เศรษฐกิจที่ยังไม่สางไข้ย่อมต้องการยาแรงมากระตุ้น
นั่นคือเอาเงินเข้าไปหมุนเวียนในระบบใหม่มากที่สุด กระตุ้นให้คนใช้จ่าย
จัดทำนโยบายลด แลก แจกเงินกันมากมายผ่านนโยบายต่างๆ เพื่อหลังฟื้นเศรษฐกิจ
หรือที่ภาษาการคลังใช้คำว่า ‘บาซูก้าการคลัง’ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไทยก็อัดฉีด
‘ยาแรง’ ให้กับเศรษฐกิจไทยไปไม่น้อย
เศรษฐกิจไทยจะฟื้นอย่างไร
ทุกวันนี้ทำให้ภาคธุรกิจต่างเฝ้าจับตาว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้เมื่อไหร่
และที่สำคัญเศรษฐกิจในประเทศไทยที่สัดส่วนจีดีพีส่วนใหญ่ กระจุกอยู่ในภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว
เมื่อส่งออกติดลบ นักท่องเที่ยวต่างชาติหาย ผลก็ชัดเจนว่าปีนี้ตัวเลขจีดีพีไทยติดลบร้อยละ
8-10 ตามการประเมินของสถาบันที่น่าเชื่อถือต่างๆ
หากดูตัวเลขการส่งออกเดือนมิถุนายน 2563 ยังคงติดลบอยู่ที่ 23.17% คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 16,444
ล้านดอลลาร์ และการส่งออกในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้
ติดลบ 7.09% คิดเป็นมูลค่า 114,343 ล้านดอลลาร์
แม้โดยภาพรวมส่งออกไทย
สองไตรมาสแรกจะติดลบ แต่ยังมีตลาดส่งออกของไทยที่มีศักยภาพในแต่ละภูมิภาค
เช่น กลุ่มเอเชียตะวันออกประกอบด้วยจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้
ตลาดอาเซียนประกอบด้วย มาเลเซีย เวียดนาม เมียนมา และ สปป.ลาว
ยังมีการส่งออกได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก 2563 อาทิ จีน ส่งออกขยายตัว 5.8% ฮ่องกง
ขยายตัว 1.4%
สำหรับตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ในเดือน มิ.ย.2563 พบว่ากลับมาขยายตัว
14.5% สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ
อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน
อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และเครื่องใช้ไฟฟ้า
ด้านตลาดจีนขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่
3 โดยขยายตัว 12.0% สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์และส่วนประกอบ
ผลไม้สด แช่แข็งและแห้ง เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก ขณะที่ครึ่งแรกของปี 2563
ขยายตัว 5.8%
กลุ่มสินค้าที่ยังไปต่อได้ในตลาดโลก
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในเดือน มิ.ย.2563 มีมูลค่า
2,912 ล้านดอลลาร์ เทียบช่วงเดียวกับปีที่แล้วลดลง 9.9% โดยสินค้าอาหารยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก
และรักษาอัตราการขยายตัวของการส่งออก ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
ที่ยังไม่คลี่คลายในหลายประเทศ เนื่องจากสินค้าไทยมีมาตรฐานความปลอดภัย
สินค้าอาหารที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป
ไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป สิ่งปรุงรสอาหาร เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์
อาหารสัตว์เลี้ยง ผักและผลไม้สดแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป
ขณะที่ไข่ไก่ขยายตัวในระดับสูงเป็นเดือนที่ 2 หลังจากส่งออกได้ตั้งแต่เดือน
พ.ค.2563 รวมถึงสินค้าข้าวพรีเมียมยังขยายตัวได้ดีเช่นกัน เช่น ข้าวหอมมะลิ
ข้าวกล้อง และข้าวขาว 100%
ส่วนสินค้าอาหารที่ยังหดตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย
และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง
โดยมีสาเหตุมาจากปัญหาด้านอุปทานที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง
และโรคใบด่างมันสำปะหลัง ทำให้ไทยมีปริมาณการส่งออกลดลง
รวมถึงมีสินค้าบางรายการยังสามารถรักษาระดับการเติบโตได้ เช่น สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (work
from home) เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
อาหารสัตว์เลี้ยง
ด้วยเหตุนี้ ประเด็นสำคัญในการผลักดันการส่งออกครึ่งปีหลัง
คือการสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพและสุขอนามัยของสินค้า
และผู้ส่งออกต้องปรับรูปแบบการทำธุรกิจและการค้าให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในยุค
New Normal เพื่อหาจุดขายใหม่ๆ ให้แก่สินค้าและบริการ
จะทำให้สามารถรักษาฐานตลาดเดิม และชิงส่วนแบ่งจากตลาดใหม่ได้ต่อ
กระนั้นต้องยอมรับว่าการฟื้นตัวของภาคการส่งออกมีผลเชื่อมโยงถึงภาคการผลิต
ซึ่งแม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน มิ.ย.
เริ่มปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 80.0 จากเดือน พ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 78.4
ถือเป็นสัญญาณที่ดีเพราะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2
แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับ 100
เพราะเอกชนยังกังวลปัญหาเรื่องสภาพคล่องจากคำสั่งซื้อใหม่ที่ชะลอ
รวมถึงต้นทุนประกอบการสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน ราคาวัตถุดิบ ค่าขนส่ง
และที่สำคัญคือการระบาดระลอก 2 จะเกิดขึ้นหรือไม่
และหากเกิดขึ้นจะมีความรุนแรงระดับใด
เศรษฐกิจจะฟื้นในอีก 2 ปีจริงหรือ?
คงไม่มีใครที่จะตอบได้แต่ชัด ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเมื่อไหร่
เพราะทุกอย่างอาศัยการเทียบเคียงข้อมูลและสมมติฐาน เพื่อประเมินทิศทางและความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้น
แต่ก็ยังไม่แน่นอนเพราะยังมีปัจจัยลบที่เป็นตัวแปรสำคัญ
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลจากรายงานของธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่า จากการวิเคราะห์แบบจำลองคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวต้องใช้เวลาอย่างน้อย
2 ปี
แต่ต้องอาศัยการสนับสนุนกำลังซื้อของครัวเรือนและมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนอัตราการเติบโตในปี 2564 คาดว่าจะเติบโต 4.1% เทียบกับการคาดการณ์ในปีนี้
ส่วนปี 2565 คาดว่าจีดีพีจะเติบโต 3.6%
2 ปีย่อมไม่นาน หากเศรษฐกิจจะฟื้นจริงๆ
แต่นานมากสำหรับผู้ประกอบการที่มีเงินหมุนเวียนน้อย เพราะกว่าจะถึงวันนั้น
ธุรกิจอาจทนพิษเศรษฐกิจไม่ไหว แถมยังมีปัจจัยลบภายในประเทศรุมเร้า
เช่นปัญหาว่างงาน กำลังซื้อหดตัว เงินเฟ้อ การลงทุนในประเทศชะลอตัว
ซึ่งเป็นเหมือนโซ่ตรวนที่ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้สะดวกนัก
และยังต้องรวมถึง ‘การเมืองในประเทศ’
เข้าไปเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงอีกด้วย
ดังนั้น 2 ปีจากนี้ คือความท้าทายสำหรับธุรกิจอย่างมาก โดยเฉพาะ SMEs ที่มีเงินหมุนเวียนไม่มากนัก ต้องมีการวางแผนที่รอบคอบและรัดกุม แต่ก็ไม่ลืมที่จะมองหาโอกาสในตลาดใหม่ๆ ด้วย
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
รู้เพื่อตั้งรับ! 5 รูปแบบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม
3 เรื่องรู้แล้วรอดได้ในทุกวิกฤติเศรษฐกิจ