แม้ว่าประเทศไทยคลี่คลายจากมรสุมการคุกคามของไวรัสโควิด19
ลงแล้ว แต่ดูท่าทีว่าการแพร่ระบาดทั่วโลกยังไม่เลิกแผลงฤทธิ์ง่ายๆ แถมสร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจไปทั่วโลกอยู่ในสภาวะตกต่ำสุดขีดเป็นประวัติศาสตร์นับตั้งแต่เกิดสงครามโลกครั้งที่
2 ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ผู้คนตกงาน ผู้ประกอบการเจ๊งระนาว ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกยังไม่สางไข้
ความบอบช้ำทางเศรษฐกิจทั้งมหภาคและจุลภาคภายในประเทศไทยยังคงระส่ำระสายไปอีกระยะ
ทั้งมีการประเมินว่าอาจจะต้องใช้เวลาฟื้นฟูไม่น้อยกว่า 2 ปี
โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักสุดและฟื้นตัวล่าช้ากว่ากลุ่มธุรกิจอื่นคงหนี้ไม่พ้น "อุตสาหกรรมท่องเที่ยว" ซึ่งลุกลามเป็นลูกโซ่ไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สายการบิน, โรงแรม-ที่พัก, ร้านอาหาร, ธุรกิจทัวร์, แพลตฟอร์ม booking ต่างๆ จนไปถึงห้างสรรพสินค้า, สถานบันเทิง, โรงภาพยนตร์, โรงละคร, คอนเสิร์ต หรืองานอีเวนท์ต่างๆ ด้วยเหตุที่กลุ่มธุรกิจดังกล่าวฟื้นตัวช้า เนื่องจากการล็อคดาวน์ประเทศป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะปิดกั้นไม่ให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางไปไหนมาไหนได้ตามปกติ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ขณะเดียวกันยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจับตามองอยู่
4 ประเภทที่มีแนวโน้มเติบโตช้า ประกอบด้วย ได้แก่ อุตสาหกรรมขนส่งทางอากาศหรือสายการบิน
อุตสาหกรรมผลิตเชื้อเพลิง อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ รวมถึงกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
ส่วนธุรกิจที่จะฟื้นตัวได้ยากสุดและมีความเสี่ยงมากสุด
คือธุรกิจนาดเล็ก เนื่องจากมีสภาพคล่องไม่เพียงพอในการหล่อเลี้ยงพนักงานและธุรกิจได้
ซึ่งบางกลุ่มอาจต้องเผชิญปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและความช่วยเหลือจากภาครัฐได้ยาก
ทำให้ต้องล้มหายตายจากไปจากวงจรธุรกิจ
อย่างไรก็ตามทุกธุรกิจที่รอการฟื้นตัวต้องเร่งเตรียมปรับตัวให้สอดรับกับ
New Normal เช่น การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต ไม่เพียงแต่ด้านการค้า
การตลาด และการชำระเงินเท่านั้น เพื่อลดต้นทุนค่าแรง
ยังรวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในด้านการบริการ อย่างในธุรกิจค้าปลีกที่นำเทคโนโลยี AR
มาใช้ต่อยอดจากแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือ E-Commerce เช่น ให้ลูกค้าสามารถลองสินค้าผ่านภาพเสมือนจริง ซึ่งอาจทำให้ตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น
กลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวรวดเร็ว
หลังสถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ผศ.ดร.ธนวรรธน์
พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกกว่า กลุ่มธุรกิจที่คาดว่ามีแนวโน้มฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว
ได้แก่ ธุรกิจขนส่งสินค้าและโดยสารทั่วไป ทั้งทางบกและทางน้ำ ธุรกิจคลังสินค้า ธุรกิจสื่อสาร
ธุรกิจไปรษณีย์หรือรับส่งของ ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร ธุรกิจสุขภาพเชิงการแพทย์และอนามัย
ตลอดทั้งธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต
และร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจผลิตอุปกรณ์วิทยาศาสตร์หรือการแพทย์
ธุรกิจผลิตอะไหล่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ ธุรกิจประกันสุขภาพ
และธุรกิจการศึกษาออนไลน์
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่คาดว่ามีแนวโน้มฟื้นตัวได้ปานกลางนั้น
ก็คือกลุ่มธุรกิจขนส่งโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวทั้งทางบกและทางน้ำ ธุรกิจโรงแรม
ตัวแทนธุรกิจเดินทางหรือนำเที่ยว ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจขายส่งและขายปลีก
โดยเฉพาะที่เป็นรายย่อย รวมถึงอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ เช่น ธุรกิจผลิตเครื่องดื่ม
กระเบื้อง เครื่องปั้นดินเผา ผลิตภัณฑ์แก้ว เครื่องจักร ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์กระดาษ
เคมีภัณฑ์ เหล็ก ซีเมนต์ คอนกรีต ซึ่งยังรวมถึงกลุ่มธุรกิจประมง ก่อสร้าง
สถาบันการเงิน ธุรกิจประกันภัยหรือประกันอุบัติเหตุ และธุรกิจการศึกษา
4 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง
แนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในช่วงที่เหลือของปี
2563 ทางสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)
คาดว่าเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมไทยมีแนวโน้มฟื้นค่อยเป็นค่อยไป
แต่ต้องอยู่บนสมมุติฐานว่าจะต้องไม่มีการระบาดอีกรอบของโควิด 19 แต่เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี
2563 ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง เพราะขึ้นอยู่กับ
1. ความรุนแรงของการระบาด
การผ่อนคลายมาตรการปิดสถานที่ และจำกัดการเดินทางในต่างประเทศ
ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก
2. ทิศทางของสถานการณ์การระบาด
การดำเนินมาตรการปิดสถานที่ และจำกัดการเดินทางในประเทศในช่วงที่เหลือของปี
3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค
รูปแบบการประกอบธุรกิจ
และความเข้มข้นของมาตรการภาครัฐในการป้องกันและควบคุมภายหลังจากความรุนแรงของการระบาดลดลง
4. ความพร้อมของภาคธุรกิจในการกลับมาดำเนินธุรกิจภายหลังจากการระบาดติดเชื้อความรุนแรงลดลง
3 ปัจจัยบวกสนับสนุนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
1. การปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกในช่วงครึ่งปีหลัง
เช่น จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน และฮ่องกง ในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ประเทศเยอรมนี
ฝรั่งเศส และอิตาลี อยู่ในช่วงของการปรับตัวลดลง
2. การผลิตและการส่งออกสินค้าสำคัญๆ
ที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปลี่ยนแปลงทิศทางทางการค้า
การย้ายฐานการผลิตในช่วงก่อนหน้าและปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากการระบาดของโรคโควิด
19 ทำให้ความต้องการสินค้าในบางรายการเพิ่มขึ้น แม้ว่าการส่งออก (ไม่รวมทองคำ)
และการผลิตภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมจะปรับตัวลดลงในไตรมาสแรก
ขณะที่ภาคการผลิตและการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการยังคงขยายตัวได้ในเกณฑ์ดี
โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและยา สินค้าคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง
กลุ่มสินค้าเครื่องจักรใช้งานทั่วไป ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์
3. มาตรการและแรงขับเคลื่อนจากมาตรการภาครัฐ
อาทิ การเบิกจ่ายภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 และ 2564
งบประมาณภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด 19 ปี 2563 วงเงิน
1ล้านล้านบาท รวมถึงมาตรการสินเชื่อซอฟท์โลนภายใต้พระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศปี
2563
วิกฤติโควิด 19 ลุกลามไปทั่วโลกส่งผลกระทบต่อธุรกิจขยายเป็นวงกว้าง ทั้งทางตรงและทางอ้อม เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 หลังเกิดการระบาดของไวรัส ต้นกำเนิดที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ยของจีน ผ่านมากว่า 6 เดือนแล้วแต่ทั่วโลกยังไม่สามารถยับยั้งการแพร่ระบาดได้ทำให้ทุกธุรกิจดับสนิท