ปีที่ผ่านมาภาคการส่งออกไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด
19 ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจการค้าโลกชะลอตัวลง
เนื่องจากมาตรการปิดเมืองเพื่อควบคุมโรคทั้งในและต่างประเทศ กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายภาคส่วนต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว
ทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยลดลง โดยเฉพาะไตรมาสที่สองของปี 2563 หดตัวสูงถึงร้อยละ 15.24 ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกทั้งปี
2563 หดตัวร้อยละ 6.0 อย่างไรก็ตาม
แม้ภาพรวมการส่งออกจะหดตัว แต่เมื่อพิจารณาการส่งออกไปยังตลาดสำคัญ พบว่ายังมีสินค้าศักยภาพหลายรายการสามารถผลักดันการส่งออกของไทยให้กลับมาฟื้นตัวได้
ซึ่งจากการศึกษาวิเคราะห์ของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เกี่ยวกับสินค้าส่งออกของไทยที่มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และ CLMV ในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การส่งออกเผชิญกับภาวะวิกฤตข้างต้น โดยใช้ดัชนีความสามารถในการส่งออก (Export Specialization Index : ESI) เพื่อวัดความสามารถในการส่งออกของสินค้าไทยในแต่ละตลาด พบว่าสินค้าไทยที่ยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ มีดังนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ตลาดสหรัฐอเมริกา
หมวดสินค้าเกษตรและอาหาร : 1. ทูน่ากระป๋องและแปรรูป
2. ปลาแช่แข็ง แห้ง หรือรมควัน 3. กุ้งสด
แช่เย็น แช่แข็ง 4. อาหารสัตว์เลี้ยง 5. ผลไม้ปรุงแต่ง และน้ำผลไม้ 6. กากมะพร้าวสำหรับเลี้ยงสัตว์ 7. สาคู 8. ถั่วลิสง 9. ธัญพืช (ลูกเดือย)
หมวดสินค้าอุตสาหกรรม : 1. นาฬิกาข้อมือ 2. ผ้าผืนและด้ายทำจากฝ้าย 3. เส้นใยประดิษฐ์
เส้นใยสังเคราะห์ 4. เครื่องสุขภัณฑ์ทำด้วยทองแดง 5. ผลิตภัณฑ์เซรามิก 6. อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์
และไดโอด (โซลาร์เซลล์) 7. หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 8. แผงวงจรไฟฟ้าและตัวเก็บประจุไฟฟ้า
9. เครื่องซักผ้า เครื่องซักแห้ง 10. เหล็กและผลิตภัณฑ์
11. ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม 12. โทรศัพท์และอุปกรณ์
ตลาดจีน
หมวดสินค้าเกษตรและอาหาร : 1. มันสำปะหลัง 2. ผลไม้แห้ง 3. ปลาแช่เย็นแช่แข็งและกระป๋อง
4. ผักและผลไม้เชื่อม แช่อิ่ม ดอง และกระป๋อง 5. น้ำตาลกลูโคส ฟรักโทส มอลโทส 6. ซอสปรุงรสและผงมัสตาร์ด 7. นมยูเอชที 8. อาหารสัตว์เลี้ยง
หมวดสินค้าอุตสาหกรรม : 1. ยางนอก 2. หนังเฟอร์ฟอกหรือตกแต่งแล้ว (หนังมิงค์) 3. เส้นใยสังเคราะห์ 4. แผ่นไม้อัด
ไม้เลื่อย 5. สารที่ใช้ทำกาว
6. ผลิตภัณฑ์พลาสติก (ซิลิโคน พอลิเมอร์ และบรรจุภัณฑ์พลาสติก) 7. เครื่องสุขภัณฑ์และเครื่องใช้ในครัวที่ทำจากเซรามิก 8. ฐานรองฟูก 9. ใยยาวสังเคราะห์
10. หนังฟอก 11. ผลิตภัณฑ์กระดาษ
(แท่นกรองหรือแผ่นที่ทำด้วยเยื่อกระดาษ กระดาษ/กระดาษแข็ง)
ตลาดญี่ปุ่น
หมวดสินค้าเกษตรและอาหาร : 1. ผลิตภัณฑ์แป้ง
(แป้งข้าวโพด/ข้าวไรซ์/ข้าวเหนียว) 2. เนื้อสัตว์แปรรูปและกระป๋อง
3. อาหารสัตว์เลี้ยง 4. ซอสปรุงรส 5. น้ำตาลทราย
หมวดสินค้าอุตสาหกรรม : 1. สารที่ใช้ทำกาว
2. หลอดหรือท่อทำด้วยทองแดง 3. ด้ายที่ทำด้วยยางวัลคาไนซ์
4. ถุงมือยาง 5. ตัวถังรถยนต์ 6. สิ่งปรุงแต่งสำหรับผม (แชมพู/น้ำยาดัดหรือยืดผม) 7. ของที่ทำจากดีบุก 8. ผลิตภัณฑ์ทำจากแก้ว
(กระจกนาฬิกา/กระจกแว่นตา แก้ว กระเบื้องแก้ว) 9. เส้นใยสังเคราะห์
10. เม็ดพลาสติกโพลิเมอร์
ตลาด CLMV
หมวดสินค้าเกษตรและอาหาร : 1. น้ำตาลจากอ้อย 2. โคกระบือและสุกรมีชีวิต 3. เครื่องดื่ม น้ำแร่ น้ำอัดลม น้ำดื่มปรุงกลิ่นรส 4. เนื้อสัตว์ปรุงแต่ง 5. ปลาปรุงแต่ง 6. ขนมปังกรอบ 7. อาหารปรุงแต่งจากธัญพืช
หมวดสินค้าอุตสาหกรรม : 1. แคลเซียมฟอสเฟตธรรมชาติ 2. สบู่ 3. แทรกเตอร์เพลาเดียว
4. รถพ่วง 5. ยางรถยนต์
(ขนาดใหญ่) 6. น้ำยางธรรมชาติ
7. ก๊าซและปิโตรเลียม
ผลจากการศึกษาพบว่าสินค้าส่วนใหญ่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี มีความต้องการสูงในช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด
19 ทั่วโลกยังคงมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร ทั้งนี้ผู้ประกอบการจะต้องเร่งพัฒนาคุณภาพสินค้า ให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนามาตรฐานและความปลอดภัย
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคชาวต่างชาติในการนำเข้าสินค้าไทย ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมไทยมีศักยภาพค่อนข้างหลากหลาย
ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยรักษาส่วนแบ่งตลาดในประเทศคู่ค้าไว้ได้
จึงควรรักษาตลาดและเร่งเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในช่วงที่ประเทศคู่แข่งยังไม่ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด
19
3 กลุ่มประเทศคู่ค้าที่ไทยควรขยายสัมพันธ์การค้าในอนาคต
กลุ่มที่ 1 : ประเทศคู่ค้าที่มีศักยภาพการนำเข้าสูง ความต้องการสินค้านำเข้าเป็นสินค้าประเภทเดียวกับที่ไทยส่งออกหลายรายการ
และไทยส่งออกไปประเทศเหล่านั้นได้สอดคล้องกับศักยภาพของประเทศคู่ค้าอยู่แล้ว
ซึ่งจะต้องรักษาฐานลูกค้าและสร้างความจงรักภักดี (Loyalty) ต่อสินค้าไทย หากเจรจาจัดทำ FTAเพื่อให้ไทยมีแต้มต่อจะเป็นผลดีอย่างยิ่ง ได้แก่ อเมริกาเหนือ (สหรัฐฯ
แคนาดา) ยุโรปตะวันตก (เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส) โอเชียเนีย (ออสเตรเลีย
นิวซีแลนด์) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มาเลเซีย
กลุ่มที่ 2 : ประเทศคู่ค้าที่มีศักยภาพการนำเข้าสูง ความต้องการสินค้านำเข้าเป็นสินค้าประเภทเดียวกันกับที่ไทยส่งออกหลายรายการ
แต่ไทยมีการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าเหล่านั้นในระดับปานกลาง กลุ่มประเทศเหล่านี้สามารถพัฒนาให้เป็นคู่ค้าที่มีการค้าอยู่ในระดับสูงได้
โดยไทยควรมุ่งทำการตลาดเชิงรุก หากมีอุปสรรคทางการค้าควรเร่งเจรจาแก้ไขปัญหาและอุปสรรค
เพื่อขยายส่วนแบ่งตลาดหรือหากเจรจาการค้า เพื่อให้ไทยมีแต้มต่อหรือได้รับประโยชน์มากขึ้น
ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไทยควรให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก
โดยส่วนใหญ่เป็นประเทศในยุโรปเหนือหรือสแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์ เดนมาร์ก สวีเดน
ฟินแลนด์) ยุโรปตะวันออก (สโลวีเนีย เช็ก ออสเตรีย ฮังการี โปแลนด์)
และบางประเทศแถบตะวันออกกลาง (กาตาร์ อิสราเอล) โดยประเทศที่กล่าวมาล้วนเป็นประเทศที่ประชาชนมีรายได้ต่อหัวสูง
กลุ่มที่ 3 : ประเทศคู่ค้าที่มีศักยภาพการนำเข้าสูง ความต้องการสินค้านำเข้าเป็นสินค้าประเภทเดียวกันกับที่ไทยส่งออกหลายรายการ
แต่ประเทศไทยส่งออกไปน้อย กลุ่มประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่ไทยควรเร่งศึกษาตลาด
เพื่อขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติม ได้แก่ ไอซ์แลนด์ เอสโตเนีย ลิทัวเนีย และคาซัคสถาน
แหล่งอ้างอิง : สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์