ตลาดสินค้าเครื่องสำอางในสหรัฐฯ
มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา อีกทั้งยังมีแนวโน้มขยายตัวเป็นมูลค่า
1.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5.4
ต่อปี ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 ที่รุนแรงในปัจจุบัน คาดว่าน่าจะส่งผลกระทบทำให้ตลาดสินค้าเครื่องสำอางในสหรัฐฯ
ปรับตัวลดลงราวร้อยละ 2.1 เหลือเป็นมูลค่าตลาดทั้งสิ้น 1.66
หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่ในทางกลับกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ไทยกลับเป็นประเทศผู้ส่งออกเพียงไม่กี่ประเทศที่มีสัดส่วนส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น โดยไทยมีสัดส่วนส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.54 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมาเป็นมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 7.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเครื่องสำอางมีอัตราการขยายตัวสูงหลายเท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมาด้วย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้แม้ว่าแนวโน้มตลาดสินค้าเครื่องสำอางโดยรวมในสหรัฐฯ
จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ทำให้มีอัตราการขยายตัวลดลง
แต่ก็มีสินค้าเพื่อความสวยงามบางกลุ่มกลับได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวอเมริกันมากขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน เช่น ชุดบำรุงผิว
และชุดพอกหน้า เป็นต้น
แม้ตัวเลขส่งออกเครื่องสำอางไทยในตลาดสหรัฐจะไม่ได้มากนัก
แต่ถือว่ามีแนวโน้มที่ดี โดยมีปัจจัยที่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าจะเป็นโอกาสและความท้าทายของเครื่องสำอาจไทยในตลาดสหรัฐฯ
คือ
1. สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ
กับจีน : สหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนร้อยละ 25 ซึ่งเป็นผลให้ผู้นำเข้าสหรัฐฯ หนีออกจากจีนและหาแหล่งนำเข้าอื่นมาทดแทน
จึงเป็นโอกาสให้ผู้ผลิต/ส่งออกไทยเสนอบริการผลิตสินค้า OEM ให้แก่ผู้นำเข้าสหรัฐฯ
2. สินค้าเครื่องสำอางไทยยังไม่เป็นที่แพร่หลายในสหรัฐฯ
: สินค้ามีมูลค่านำเข้ามาจำหน่ายในระดับต่ำหากเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน
เครื่องสำอางไทยมักจะถูกห้ามนำเข้าด้วยเหตุผลมีการกระทำที่ฝ่าฝืนระเบียบหรือการปฏิบัติ
ไม่ให้สอดคล้องกับกฎและระเบียบที่กำหนดไว้ในด้านการเติมสีต้องห้าม การใช้ส่วนผสมต้องห้าม
ฉลากสินค้าไม่ถูกต้อง และการปนเปื้อนของจุลินทรีย์หรือสิ่งแปลกปลอม รวมไปถึงการอ้างสรรพคุณ
ดังนั้นในการส่งออกเครื่องสำอางไปสหรัฐฯ
ผู้ผลิต/ส่งออกไทยจึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับสินค้าเครื่องสำอางของสหรัฐฯ
3. แบรนด์เครื่องสำอางในสหรัฐฯ มักใช้ Social Media ในการสื่อสาร : ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลและแนะนำสินค้า
เพื่อเป็นการชักจูงให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้า ดังนั้นผู้ผลิต/ส่งออกที่ต้องการจะขายสินค้าแบรนด์ไทย
ควรพิจารณาใช้ช่องทาง Social Media ในการแจ้งเกิดแบรนด์เครื่องสำอางไทยในสหรัฐฯ
4. การใช้กลยุทธ์ Personalization
: เป็นการต่อยอดทางการตลาด เพื่อให้การบริการสินค้าให้ตรงจุดกับความต้องการผู้บริโภคแต่ละคนมากที่สุด
จึงเป็นกลยุทธ์ที่ควรศึกษาและพิจารณานำไปประยุกต์ด้านการตลาดเครื่องสำอาง
การขูดไล่พิษกัวซา สปา ศาสตร์ภูมิปัญญา ตลาดมาแรง
จากข้อมูลการสำรวจตลาดโดย บริษัท Spate ผู้สำรวจแนวโน้มความต้องการผู้บริโภค
พบว่านับตั้งแต่ที่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 ในสหรัฐฯ
ผู้บริโภคชาวอเมริกันให้ความสนใจบริโภคสินค้าเพื่อความสวยงาม 4 กลุ่มมากขึ้น
ได้แก่ สินค้าเสริมความงามด้วยตัวเอง, สินค้าบำรุงสีผมผสมเม็ดสีม่วง (Purple Hair Products), สินค้าเซรั่มบำรุงผิว
และสินค้าครีมทาผิวป้องกันแสงสีฟ้า (จากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์)
ทั้งนี้
หากพิจารณาจากภาวการณ์แพร่ระบาดที่ยังคงรุนแรงในหลายพื้นที่
ประกอบกับแนวโน้มการขยายตัวของกลุ่มสินค้าดังกล่าวในตลาด
คาดว่าแนวโน้มดังกล่าวจะสามารถช่วยพยุงตลาดสินค้าเพื่อความสวยความงามในสหรัฐฯ ที่ยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบันได้
รายงานดังกล่าวระบุว่า
ยอดจำหน่ายกลุ่มสินค้าอุปกรณ์เสริมความงาม (Beauty Tools) ในสหรัฐฯ ขยายตัวสูงขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยในช่วง 12
เดือนที่ผ่านมาจนถึงเดือนมิถุนายน 2563 สินค้าเครื่องอบไอน้ำสำหรับผิวหน้า (Facial
Steamers) และสินค้าไม้ขูดกัวซา (Gus Sha) มีอัตราการขยายตัวสูงร้อยละ
70.0 และร้อยละ 33.4 ตามลำดับ
โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับยอดจำหน่ายสินค้าของบริษัท
Credo ผู้จำหน่ายปลีกสินค้าเพื่อความสวยความงาม ที่รายงานยอดจำหน่ายของบริษัทนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
โดยพบว่ามียอดจำหน่ายขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 200
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าไม้ขูดกัวซารุ่น the Empress Stone ที่จัดจำหน่ายโดยบริษัท
Wildling Beauty
โดยศาสตร์การขูดผิวหนังเพื่อถอนพิษ
หรือ กัวซา (Gua Sha) เป็นการผสมผสานรากเหง้าทางวัฒนธรรมและศาสตร์การแพทย์เฉพาะทางของจีน
ซึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคในสหรัฐฯ
ที่ต้องการดูแลสุขภาพและความสวยความงามมากขึ้น
ความท้าทายของผู้ประกอบการไทย
อย่างไรก็ตาม ตลาดผู้บริโภคทั้งในสหรัฐฯ
และตลาดอื่นๆ ทั่วโลกมีการแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจึงควรที่จะเตรียมความพร้อม
เพื่อปรับตัวและพัฒนาสินค้าให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้าเพื่อความสวยงามส่วนใหญ่
เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการคู่แข่งรายใหญ่ในตลาดสหรัฐฯ
จึงมีความได้เปรียบ
ทำให้สามารถปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปได้รวดเร็วกว่า
อีกทั้งยังสามารถทำได้เกือบจะทันทีด้วย
นอกจากนี้ผู้ประกอบการไทยยังควรที่จะศึกษาตลาดและความต้องการของผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แตกต่าง และตรงตามความต้องการของผู้บริโภคในตลาดต่อไป
ทั้งนี้ดูเหมือนว่าปัจจุบันผู้บริโภคชาวอเมริกันจะหันมาให้ความสนใจกับศาสตร์การบำรุงสุขภาพ
และความงามจากภายใน โดยเฉพาะศาสตร์จากประเทศทางตะวันออก เช่น การขูดไล่พิษกัวซา
การนวดเพื่อ กระชับผิว เป็นต้น
โดยประเทศไทยมีศาสตร์แพทย์แผนไทย
ภูมิปัญญาโบราณ และสมุนไพรหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและความสวยงาม
ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาเป็นสินค้าส่งออกได้โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเพื่อความสวยงายที่ทำได้ด้วยตัวเองที่กำลังเป็นที่นิยม
เช่น ครีมสมุนไพร ลูกปะคบสมุนไพร น้ำมันนวดผิว และครีมพอกตัว เป็นต้น นอกจากนี้แนวโน้มความนิยมเครื่องสำอางธรรมชาติ
เครื่องสำอางสมุนไพร เครื่องสำอางเพื่อความยั่งยืน
(Sustainable) ยังน่าจะเป็นโอกาสในการทำตลาดของผู้ประกอบการในกลุ่มสินค้าเพื่อความสวยงามไทยในสหรัฐฯ
ในอนาคตอีกด้วย
แหล่งอ้างอิง :
สำนักงานการค้าต่างประเทศ สำนักงานไมอามี่
Vouge Business เรื่อง :
“The Beauty Trends Customers Are Buying During COVID-19”