ทำไม Digital Transformation ถึงล้มเหลวกว่า 80% ขององค์กรทั่วโลก !?

ในยุคนี้คำว่า “Digital Transformation” กลายมาเป็นเหมือนบทเรียนบังคับ ที่แทบจะทุกธุรกิจต้องหันมาศึกษา ทำความเข้าใจ และเริ่มนำมาปรับใช้กับทั้งเบื้องหน้าหรือเบื้องหลังของธุรกิจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงแทบจะทุกวินาที!

.

แม้คำว่า “Digital Transformation” จะกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญขององค์กรทั่วโลกมานานกว่าทศวรรษ แต่บอกเลยว่ารายงานจากหลายสถาบันวิจัยและที่ปรึกษาชั้นนำยังคงชี้ชัดว่า กว่า 70–95% ของโครงการ Digital Transformation ไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย หรือพูดง่าย ๆ คือ “ล้มเหลวเฉลี่ยถึง 87.5%”

.

ในช่วงโควิด-19 การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลยิ่งเร่งตัวขึ้น แต่คำถามคือ.. ทำไมหลายองค์กรยังไปไม่ถึงเป้าหมาย?

—------------------------------------

จากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานร่วมกับผู้บริหารหลายร้อยคนทั่วโลก พบว่า “ความล้มเหลว” มักมาจาก 3 สาเหตุหลัก ดังนี้

—------------------------------------

สาเหตุที่ 1 ตั้งเป้าหมายเกินจริง (Over-Optimistic Expectations)

เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบได้บ่อย ๆ จากที่หลายองค์กรเริ่มต้นด้วยความคาดหวังที่สูงเกินไป คิดว่าเพียงแค่ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ก็จะสามารถเปลี่ยนองค์กรได้ทันที แต่ในความเป็นจริง Digital Transformation ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่ต้องอาศัยทั้งเวลา การเปลี่ยนวิธีคิด และการเรียนรู้ของทั้งระบบขององค์กร

ตัวอย่างเช่น องค์กรคาดหวังว่าการใช้ AI จะเพิ่มยอดขายในไม่กี่เดือน แต่กลับมองข้ามขั้นตอนสำคัญอย่างการเตรียมข้อมูลหรือพัฒนาทักษะของทีมงาน ผลลัพธ์ คือ “ลงทุนแล้วไม่เห็นผล” เพราะขาดการวางเป้าหมายและกรอบเวลาที่สมจริง เป็นต้น

.

สาเหตุที่ 2 การดำเนินการที่ไม่เป็นระบบ (Poor Execution)

อีกสาเหตุสำคัญ คือ “การลงมือทำโดยไม่มีระบบการบริหารจัดการที่ดีพอ” โดยหลายโครงการหันมาเน้นเปลี่ยนผ่านสู่การใช้เทคโนโลยีเป็นศูนย์กลาง แต่ลืมผู้ใช้จริงในองค์กร เช่น

• ไม่มีระบบกำกับดูแล (Governance) ที่ชัดเจน ต่อเนื่อง และเหมาะสม

• ใช้ตัวชี้วัด (KPI) ที่ไม่สะท้อนผลลัพธ์จริง

• การให้ความสำคัญกับการลงทุนระบบใหม่ แต่พนักงานไม่ถูกฝึกให้ใช้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เทคโนโลยีกลายเป็น “ต้นทุน” มากกว่า “เครื่องมือของการเปลี่ยนแปลง”

.

สาเหตุที่ 3 การบริหารช่วงเปลี่ยนผ่าน (Managing the Transition)

ข้อนี้นับว่าเป็นสาเหตุที่มักถูกมองข้ามมากที่สุด และก็ยังเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดเช่นกัน เพราะความเร็วในการนำพาองค์กรเปลี่ยนผ่านจากระบบเดิมไปสู่ระบบใหม่ คือการที่ต้องมีการบริหารช่วงของการเปลี่ยนผ่านให้ดี!

เพราะการเปลี่ยนผ่านสู้โลกดิจิทัลไม่ใช่การเปลี่ยนแบบชั่วข้ามคืน แต่เป็น “เส้นทางการเรียนรู้ขององค์กร” ซึ่งตัวผู้นำต้องมีความเข้าใจในเรื่องของ Digital Learning Curve หรือการเดินให้มั่นก่อนจะวิ่ง และเรียนรู้ผ่านแต่ละช่วงอย่างเป็นระบบ ได้แก่

• Modernization – สร้างพื้นฐานระบบดิจิทัล

• Enterprise-wide Transformation – ขยายการเปลี่ยนแปลงให้ครอบคลุมทั้งองค์กร

• New Business Creation – สร้างธุรกิจใหม่จากเทคโนโลยี

ซึ่งองค์กรที่เข้าใจและไม่ข้ามขั้นตอน มักจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

.

จุดนี้ Digital Transformation ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือกระบวนการการเรียนรู้และพัฒนาองค์กร ให้พร้อมรับมือกับโลกธุรกิจใหม่ที่เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นทุกวัน ผู้นำต้องมองให้ลึกกว่าการติดตั้งระบบใหม่ โดยต้องเข้าใจคน วัฒนธรรม และการบริหารในช่วงเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง

เพราะเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนองค์กรได้ แต่คนที่เรียนรู้และนำเทคโนโลยีไปใช้ได้อย่างเข้าใจ จะสามารถเปลี่ยนองค์กรได้จริง

—----------------------------------

Digital Transformation Journey พาองค์กรเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัลใน 3 สเต็ป

1. Modernization – ปรับปรุง “พื้นฐาน” ให้พร้อมสู่โลกดิจิทัล
   โดยเป้าหมาย คือ การทำให้ระบบและกระบวนการที่มีอยู่ ง่ายขึ้น ฉลาดขึ้น และเชื่อมต่อได้มากขึ้น ซึ่งในขั้นนี้องค์กรจะเริ่มจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยปรับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การออกแบบแอปพลิเคชันหรือระบบ Self-service สำหรับลูกค้า, การเชื่อมต่อข้อมูลผลิตภัณฑ์ให้ทำงานอัตโนมัติ เป็นต้น
   แม้ขั้นตอนนี้อาจยังไม่สามารถเปลี่ยนองค์กรเข้าสู่โลกของดิจิทัลได้ทั้งหมด แต่ก็เป็นรากฐานที่สำคัญ เหมือนการสร้างฐานรากของบ้านให้มั่นคง เพราะเมื่อระบบพื้นฐานมีประสิทธิภาพ จะช่วยประหยัดเวลา ลดต้นทุน และสร้างความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในขั้นต่อไป
   
   

2. Enterprise-wide Transformation – เปลี่ยนแปลงทั้งองค์กรอย่างบูรณาการ
   ซึ่งเป้าหมาย คือ ทำให้องค์กรสามารถทำงานร่วมกันได้ทุกส่วนทั้ง คน ระบบ และข้อมูล ซึ่งในขั้นตอนนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ เช่น
   - ธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการเชื่อมต่อประสบการณ์ของลูกค้าทั้งหน้าร้านและออนไลน์ให้เป็นหนึ่งเดียว
   - การใช้ IoT เพื่อดูแลเครื่องจักรแบบเรียลไทม์
   - สร้างวัฒนธรรม “Agile” และการเรียนรู้ต่อเนื่องให้กับพนักงานทุกระดับ
   นี่คือ “การเปลี่ยนผ่านที่แท้จริง” ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในองค์กร  ตั้งแต่การจัดการโครงสร้าง, การสร้างทีมใหม่, ไปจนถึงการปรับวัฒนธรรมการทำงานให้ยืดหยุ่น
   และเมื่อทำได้สำเร็จมักจะเกิด “โอกาสใหม่” ตามมา เช่น การขยายกลุ่มลูกค้า หรือการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เป็นต้น
   
   

3. New Business Creation – สร้างโมเดลธุรกิจใหม่ด้วยดิจิทัล
   เป้าหมาย คือ การก้าวข้ามจากการปรับตัวไปสู่ “การสร้างคุณค่าใหม่” ซึ่งในขั้นตอนนี้ องค์กรจะใช้เทคโนโลยีเพื่อเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนจากการขายสินค้า มาเป็นบริการรูปแบบ Subscription, การใช้ข้อมูลและ AI วิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของระบบแบบคาดการณ์ล่วงหน้า, หรือการสร้าง Ecosystem ร่วมกับพาร์ทเนอร์เพื่อขยายโอกาสสู่ธุรกิจใหม่
   ซึ่งถือเป็น “จุดเปลี่ยนที่แท้จริง” ของกระบวนการ Digital Transformation เพราะองค์กรต้องกล้าเปลี่ยนวิธีคิด วิธีการทำงาน และบางครั้งถึงขั้นต้องกล้าที่จะลอง “นิยามขอบเขตของธุรกิจใหม่ทั้งหมด” เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

—----------------------------------

จากทั้งหมดที่กล่ามา บอกเลยว่าในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่โลก Digital Transformation ต้องไม่รีบเร่งและทำข้ามขั้น เพราะหลาย ๆ องค์กรพยายามกระโดดข้ามจากการปรับระบบขั้นที่ 1 ไปสู่การสร้างธุรกิจใหม่ในขั้นที่ 3 แต่สุดท้ายมักไม่สำเร็จ เพราะการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลคือ “เส้นทางแห่งการเรียนรู้” เมื่อองค์กรมีพื้นฐานที่แข็งแรง (Modernization) สามารถเรียนรู้การทำงานแบบบูรณาการ (Enterprise-wide Transformation) ได้สำเร็จ และพร้อมสร้างสรรค์สิ่งใหม่ (New Business Creation) ก็จะสามารถก้าวสู่การเป็น “Digital Organization” ได้อย่างยั่งยืนจริง ๆ

#DigitalTransformation #Business #Technology #ArtificialIntelligence #BBO #thebigblueocean #digitaltransformation #transformationbuddy

สุดารัตน์ เรืองวิเศษ

พนักงานวิเคราะห์ 9

ที่มา: https://hbr.org/2022/09/3-stages-of-a-successful-digital-transformation