Travel bubble และการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าไทยก่อนเริ่มจริง ต.ค. นี้
หวั่นแรงงานในภาคการท่องเที่ยวการบริการโรงแรมกว่า
11 ล้านคนกำลังจะตกงาน และธุรกิจ SME ที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวจะล้มหายไปจากระบบ
จากการปิดประเทศไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ช่วงโควิด 19 นานเกินไป
รัฐบาลไทยจึงเร่งเดินหน้าหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ โดยโฟกัสไปที่เศรษฐกิจการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ
ท่ามกลางกระแสไม่เห็นด้วยทางการแพทย์ที่รัฐบาลจะเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยช่วงเดือนกันยายน
ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนดหลังทุ่มงบประมาณ
22,400 ล้านบาท ในการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ภายใต้ชื่อ
"เราไปเที่ยวกัน" และ "เที่ยวปันสุข" แล้วไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามคาดหมาย
การฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศจำเป็นต้องเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา เพื่อกระตุ้นเติมรายได้ที่หายไปกว่า
2 ล้านล้านบาทจากการท่องเที่ยว
ล่าสุดที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส
โควิด 19 (ศบค.) ชุดใหญ่ เห็นชอบให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทย ในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, ผู้ถือบัตรสมาชิกไทยแลนด์
อีลิท การ์ด และต่างชาติเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทยได้ โดยการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจะพิจารณาในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบเรื่องการท่องเที่ยวมากที่สุด
และเปิดรับนักท่องเที่ยวในจำนวนจำกัด ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องผ่านการคัดกรองตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง
และให้อยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวเท่านั้น เบื้องต้นจะนำร่องที่จังหวัดภูเก็ตเป็นโมเดล
ภายหลังมีการเปิดประชาพิจารณ์ในพื้นที่ว่า ประชาชนในพื้นที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวหรือไม่
หากมีการยินยอม จะเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้ตั้งในวันที่ 1 ตุลาคม
2563 เป็นต้นไป
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
มาตรการการท่องเที่ยวแบบ Travel Bubble
Travel bubble เกิดขึ้นหลังการคลายล็อกมาตรการระยะที่
6 ของรัฐบาลไทย ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติ จาก 4 กลุ่ม เดินทางเข้าไทยได้ ใน 4 กลุ่มได้แก่
กลุ่มที่เข้ามาจัดแสดงสินค้าในไทย, กลุ่มที่เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์, การเดินทางมาด้านเมดิคัลและเวลเนส
(รักษาสุขภาพในไทย) และสมาชิกไทยแลนด์ อีลิท การ์ด
โดยการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศใน
4 กลุ่มหลักดังกล่าว จัดเป็นสเต็ปแรกของการเริ่มเปิดให้ต่างชาติเดินทางเข้าไทย
ซึ่งเป็นการเปิดแบบมีเงื่อนไข
โดยให้ความสำคัญในเรื่องของการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 เป็นหลัก จากศักยภาพทางการแพทย์ของไทยในความรู้ความสามารถในการควบคุมโรคได้
ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มที่อนุญาตให้เข้าไทยได้ นั้นเป็นโครงการนำร่องจากความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ที่มีการเสนอตัวเข้ามาอยู่แล้ว ภายใต้ข้อกำหนดดังนี้
1. กลุ่มที่เข้ามาจัดแสดงสินค้าในไทย (ไม่ต้องกักตัว
14 วัน)
- ต้องตรวจสุขภาพหาเชื้อโควิด
19 ไม่เกิน 3 วัน ก่อนเดินทาง
- ทำประกันโควิด
19 ตามข้อกำหนดของรัฐบาล 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ
- มีหนังสือยืนยันการปฏิบัติตามระเบียบที่รัฐบาลไทยและที่ผู้จัดงานกำหนด
- มีตั๋วเครื่องบินทั้งขามาและขากลับ
- ต้องตรวจหาเชื้อโควิด
19 ที่สนามบินของไทย
- ระหว่างการอยู่ในไทยช่วงการจัดงานต้องเช็คอินผ่านแอพพลิเคชั่น
“ไทยชนะ”
- เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง
ก็จะเข้าสู่กระบวนการดูแลของบริษัทรับจัดการเดินทางที่ตกลงไว้
- ต้องอยู่ในโรงแรม
Alternative State Quarantine ตามที่ผู้จัดงานกำหนดให้เท่านั้น
- มีการรับรองของ
ศบค. และจะมีเจ้าหน้าที่กำกับดูแลเจ้าหน้าที่ 1 คน/ต่างชาติ 10 คน เดินทางสู่ที่พัก
หรือสถานที่จัดงานเท่านั้น
- ระหว่างอยู่ในไทยจะเดินทางไปไหน
ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุขและสามารถติดตามตัวได้ตลอดเวลา
แนวทางปฏิบัติระหว่างจัดแสดงสินค้าก็จะต้องทำตามเงื่อนไข
เพื่อควบคุมพื้นที่คูหาและการเจรจาธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นจัดให้มีฉากกั้นบนโต๊ะเจรจาภายในคูหา, จัดให้มีฉากระหว่างโต๊ะเจรจาในพื้นที่เจรจา, จัดให้มีการทำออนไลน์การเจรจาธุรกิจร่วมไปกับส่วนกายภาพเป็น
Hybrid Discussion และจัดให้มีพื้นที่การเจรจาสำหรับชาวต่างชาติ
(ผู้แสดงงาน) ออกจากพิ้นที่เจรจาของชาวไทย (ผู้แสดงงาน)
ทางสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ
แจ้งว่ามีกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติมีความต้องการจะเข้ามาจัดแสดงสินค้าในไทย (Exhibition MICE) ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนถึงสิ้นปีนี้ร่วมหมื่นคน
บางเดือนอาจมียอดสูงสุดกว่า 4 พันคน อาทิ ในเดือนกันยายน 2563 มีราว 680 คน, เดือนพฤศจิกายน
4 งาน ราว 4,000
คน และเดือนธันวาคมอีกราว 1,000
คน
2. กลุ่มคณะถ่ายทำภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศทุกประเภทที่เดินทางเข้ามาถ่ายทำในไทย มีแจ้งเรื่องที่จะขอเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ในไทยแล้ว
7 เรื่องจากต่างประเทศ ในช่วงเดือนกันยายนปีนี้ถึงเดือนเมษายนปีหน้า ได้แก่ A Summer Odyssey จากจีน, Dream จากเกาหลีใต้, Wu Assassins-Reckoning จากสหรัฐอเมริกา, The Great Beer Run Ever จากสหรัฐอเมริกา, Inversion จากอังกฤษ, 47 Ronin 2
จากสหรัฐอเมริกา และ Mrs.CHURCHILLS
WAR จากอังกฤษ ซึ่งจะมีต่างชาติรวม 154 คน
ทีมงานไทย 1,100 คน ใช้งบประมาณราว 1,696 ล้านบาท กลุ่มนี้ต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดกฏเกณฑ์ของรัฐ
ที่ว่าก่อนเดินทางเข้าไทยต้องมีใบรับรองแพทย์และเอกสารตามที่ ศคบ.กำหนด
มาถึงเมืองไทยต้องกักตัว 14 วัน และทีมงานทุกคนทั้งไทยและต่างชาติ
ต้องมีประกันคุ้มครองค่ารักษาโรคโควิด 19
ต้องแจ้งการใช้พื้นที่ถ่ายทำให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดทราบล่วงหน้า
เพื่อสร้างความเข้าใจกับคนในพื้นที่ และจะมีเจ้าหน้าที่ติดตามตลอดระยะเวลาที่อยู่ในไทย
3. กลุ่มที่เดินทางมารักษาสุขภาพในไทย
จะอนุญาตให้ชาวต่างชาติในรูปแบบแพ็คเกจทัวร์ที่เชื่อมโยงกับ Medical and Wellness โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ได้เสนอให้นำร่องใน 8 แพ็คเกจทัวร์ก่อน เพื่อแจ้งผ่านสำนักงาน ททท. ในต่างประเทศและเอเย่นต์ของต่างประเทศ
ได้แก่
1. แพ็คเกจลักชัวรี
จังหวัดเชียงใหม่ (7 วัน 6 คืน)
2.
จังหวัดภูเก็ต (6 วัน 5 คืน)
3. จังหวัดภูเก็ต
(8 วัน7คืน)
4. ล่องเรือยอร์ช
จังหวัดกระบี่ (5 วัน 4 คืน)
5. เกาะสมุย
จังหวัดสุราษฏร์ธานี (7 วัน 6 คืน)
6. เกาะสมุย
(5 วัน 4คืน)
7. พัทยา
(6 วัน 5 คืน)
8. พัทยา
(11 วัน 10 คืน)
ซึ่งคนที่เดินทางมาด้านเมคิคัลและเวลเนสในไทยหลังการกักตัว
14 วัน และรักษาสุขภาพตามโปรแกรมเสร็จ
ก็จะเดินทางท่องเที่ยวไทยต่อในโปรแกรมนำร่องดังกล่าวต่อไป
4. สมาชิกไทยแลนด์อีลิทการ์ด จะนำร่องให้เดินทางเข้ามาในไทยอยู่ที่
200 รายก่อน จากจำนวนสมาชิกในปัจจุบัน 10,363 ราย ซึ่งอยู่ในไทย 3,108
รายและอยู่นอกราชอาณาจัก 7,255 ราย ซึ่งสมาชิกที่เดินทางเข้าไทยต้องกักตัว 14
วันอยู่ในโรงแรม Alternative
State Quarantine โดยมีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ
1 แสนบาท ต้องตรวจเชื้อโควิด 19 จากต้นทางภายใน 72 ชั่วโมง ต้องมีประกันสุขภาพวงเงินคุ้มครองมากกว่า
1 แสนดอลล่าร์สหรัฐ
ทั้งนี้รัฐบาลได้อนุญาตให้ต่างชาติเข้าไทยใน
4 กลุ่มดังกล่าว จัดว่าเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายในไทยสูง ซึ่งได้ผ่อนคลายเพื่ออย่างน้อยก็ให้เกิดการเคลื่อนไหวในการเดินทางเข้าไทย
กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเดินทางท่องเที่ยวแบบเที่ยวบินเช่าเหมาลำ
เพื่อรองรับการเดินทางของต่างชาติใน 4 กลุ่มดังกล่าว และปูทางเผื่อไว้ถึงการเปิดการท่องเที่ยวแบบ
Travel Bubble จับคู่ประเทศที่มีการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด
19 ได้ดีอีกด้วย
สำหรับมาตรการรองรับการท่องเที่ยวแบบ
Travel Bubble จะดำเนินการผ่านมาตรการนำร่องการท่องเที่ยวใน
3 จังหวัด รวม 6 เกาะ ได้แก่
1. จังหวัดภูเก็ตทั้งเกาะ
2. จังหวัดกระบี่ เฉพาะพื้นที่เกาะพีพี
3. จังหวัดสุราษฏร์ธานี (เฉพาะเกาะสมุย เกาะพะงัน
เกาะเต่า และเกาะนางยวน) กับประเทศที่มีการคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดได้ดีมีมาตรฐาน
ภายใต้ข้อกำหนดที่ว่า
- นักท่องเที่ยวที่มีวัตถุประสงค์จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว
จะต้องเดินทางเข้ามาจังหวัดนั้นๆ โดยตรง
- จะต้องเดินทางผ่านการบินแบบเที่ยวบินเช่าเหมาลำ
- ต้องประสานกับสถานทูตไทยในต่างประเทศเพื่อขอวีซ่า
เพราะประเทศไทยไม่มีการทำ VISA
ON ARRIVAL ให้
- ต้องมีการตรวจเชื้อว่าไม่เป็นโควิด
19 ก่อนทำการบิน
3 วัน
- มีการตรวจเชื้อซ้ำทันที่ที่เข้ามาถึงประเทศไทย
- ต้องกักตัวอยู่ในพื้นที่นำร่องดังกล่าว
14 วัน ห้ามเดินทางข้ามจังหวัดหรือข้ามพื้นที่ที่กำหนดไว้
เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ติดเชื้อ จึงสามารถเดินทางข้ามไปเที่ยวยังจังหวัดอื่นๆ ของไทยได้
- จำกัดจำนวนนักท่องเทียวต่อวันในแต่ละพื้นที่เที่ยวนำร่อง
เช่น ภูเก็ตรับได้ 1 พันคนต่อวัน
แหล่งอ้างอิง