ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่นิยมเรียกว่า
แวต (Value Added Tax – VAT) เป็นภาษีประเภทหนึ่งที่เรียกเก็บจากผู้ใช้สินค้าหรือบริการโดยใช้ราคาสินค้าหรือบริการนั้นเป็นฐานการคิดภาษี
ซึ่งจะทำให้ผู้เสียภาษีจะเสียภาษีตามมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากแต่ละขั้นตอน
ในปัจจุบันภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บในอัตราร้อยละ 7
สำหรับสินค้าและบริการที่ถูกใช้ภายในประเทศ อธิบายง่าย ๆ คือ
ตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อวัตถุดิบในการผลิต เช่น ซื้อมา 100 บาท บวก VAT อีกร้อยละ 7 เท่ากับ ต้องจ่าย 107 บาท และเมื่อนำไปผลิตและตั้งราคาขาย
เช่น 300 บาท บวก VAT ร้อยละ 7 เท่ากับราคาสินค้าชิ้นนั้น
คือ 321 บาท
ในมุมของผู้ประกอบการ เมื่อสิ้นเดือนก็ต้องยื่นเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยการคำนวณภาษีที่ต้องเสียจะเท่ากับภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ กรณีข้างต้น ราคาภาษีขาย 21 บาท ลบภาษีซื้อ 7 บาท เท่ากับ 14 บาทคือภาษีที่ต้องจ่าย จะเห็นว่าอานุภาพของ VAT ส่งผลอย่างมากต่อต้นทุนสินค้าในทุกขั้นตอน ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลหลายๆ ประเทศจึงชั่งใจอย่างมากหากจะปรับขึ้นภาษี VAT เพราะอาจจะส่งผลต่อต้นทุนสินค้าและค่าครองชีพและอาจนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจ ที่สำคัญสำหรับธุรกิจนี่อาจเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วยในกรณีที่ธุรกิจของคุณไม่ได้มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะไม่สามารถคิด VAT ลูกค้าได้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ใครบ้างที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม?
ในกรณีนี้ผู้ประกอบการที่เป็นผู้ขายสินค้า
หรือให้บริการที่มีรายรับจากการขยายสินค้าหรือให้บริการมากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล โดยต้องขอจดทะเบียนมูลค่าเพิ่ม (ภ.01) ภายใน 30
วันนับตั้งแต่มีรายได้เกิน
กรณีกิจการที่ยังมีรายรับไม่ถึง 1.8
ล้าน บาทต่อปี สามารถยื่นขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ก่อนได้เช่นกัน
โดยสามารถจดได้ตั้งแต่ 6 เดือน ก่อนวันเริ่มประกอบกิจการ
เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการจดทะเบียนล่าช้า เช่น เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม
เป็นต้น
ทั้งนี้ มีกิจการบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
ซึ่งกิจการประเภทนี้แม้มีรายรับเกิน 1.8 ล้าน บาทต่อปี ก็ไม่ต้องไปจดทะเบียน VAT เช่น ขายพืชผลทางการเกษตร
ขายสัตว์ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ขายปุ๋ย ขายอาหารสัตว์ ขายหนังสือพิมพ์
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จดอย่างไร
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องใช้แบบคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
หรือ แบบ ภพ. 01 ซึ่งสามารถยื่นแบบได้ผ่าน 2 ช่องทาง คือ
• ยื่นแบบคำขอผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่ www.rd.go.th
• ยื่นแบบคำขอด้วยกระดาษ
ณ หน่วยจดทะเบียนที่ตั้งสถานประกอบการ
โดยต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 30
วันนับแต่วันที่มีรายรับเกิน หรืออาจจะเริ่มจดก่อนที่รายรับถึงเกณฑ์ก็ได้
โดยสามารถเริ่มจดได้ตั้งแต่ 6 เดือนก่อนเริ่มประกอบกิจการ
สถานที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
สถานประกอบการใน กทม. ยื่น ณ
สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาในเขตท้อง ที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่
สถานประกอบการนอก กทม. ยื่น ณ
สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ในเขต ท้องที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่
หากมีสถานประกอบการหลายแห่งยืน ณ
สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาในท้องที่ที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว
เมื่อกรมสรรพากรได้รับคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ
ภพ.01 พร้อม เอกสารที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว จะมีการออก
“ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม” (แบบ ภพ.20) ให้แก่ผู้ประกอบการ
ซึ่งจะมีผลให้ผู้ประกอบการเป็นผู้ประกอบการจด ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย
ตั้งแต่วันที่ระบุไว้ในใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้นไป
จด VAT แล้วยังไงต่อ
ธุรกิจมือใหม่อาจมีคำถามว่า กรณีที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วมีหน้าที่อะไรบ้าง
ในกรณีที่จด VAT เรียบร้อยแล้ว
ก็สามารถเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการและออกใบกำกับภาษี
เพื่อเป็นหลักฐานในการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้
จัดทำรายงานตามที่กฎหมายกำหนด คือ รายงานภาษีขาย รายงานภาษีซื้อ และรายงานสินค้าและวัตถุดิบ ในกรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ประกอบกิจการขายสินค้า และสุดท้ายต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 พร้อมชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นรายเดือน ทุกเดือนภาษี ไม่ว่าจะมีการขายสินค้าหรือให้บริการในเดือนภาษีนั้น หรือไม่ก็ตาม โดยให้ยื่นแบบภายในวันที่ 15 ของเดือน
คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่ใช่เรื่องยาก
ตามที่อธิบายคร่าวๆ ไว้ในข้างต้น สำหรับวิธีคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ
โดยการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มให้คำนวณโดยการนำภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อในแต่ละเดือนภาษี
คือ
ภาษีมูลค่าเพิ่มต้องชำระ = ภาษีขาย –
ภาษีซื้อ
หากผลจากการคำนวณภาษีพบว่า ภาษีขาย(กรณีขายสินค้า)มากกว่าภาษีซื้อ(เช่นซื้อวัตถุดิบ)
ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องนำส่งเงินภาษีต่อกรมสรรพากรเท่ากับส่วนต่างนั้น
แต่หากภาษีขายน้อย กว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการมีสิทธิได้รับคืนภาษีซื้อ
โดยผู้ประกอบการจะ ‘ขอคืนภาษีซื้อ’ เป็นเงินสดหรือให้นำเครดิตภาษีไปชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนถัดไปก็ได้
มองดีๆ จะรู้สึกว่า VAT ไม่ถือเป็นค่าใช้จ่าย
เพราะภาษีที่ผู้ประกอบการจ่ายไปเป็นภาษีซื้อซึ่งสามารถขอคืนได้ทั้งหมด
โดยนำไปหักจากภาษีขายที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่นำส่งกรมสรรพากร
ข้อควรทราบ สำหรับ ‘ภาษีซื้อต้องห้าม’
กฎหมายไม่อนุญาตให้นำภาษีซื้อบางรายการมาหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มหรือนำมาขอคืนภาษี
คือ
1. ภาษีซื้อที่ไม่มีหลักฐานใบกำกับภาษี
2. ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีอย่างย่อ
3. ภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายเพื่อการรับรอง
4. ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีที่ออกโดยผู้ไม่มีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษี
5. ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีปลอม และ
6. ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อทรัพย์สินเพื่อใช้หรือจะใช้ในกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
เช่น กิจการขนส่งสินค้า สถานพยาบาล
หากไม่จด VAT จะเกิดอะไรขึ้น?
กรณีที่ธุรกิจยังไม่พร้อมจด VAT หรือยังไม่อยากจด หรือไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร แต่หากมีรายได้เกิน1.8
ล้านบาทต่อปี จะมีผลดังนี้
1. โดยไม่สามารถเรียกเก็บ VAT จากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการได้
2. ไม่สามารถออกใบกำกับภาษีได้เนื่องจากยังไม่ได้เป็นผู้ประกอบการที่จด
VAT
3. ต้องเสียเบี้ยปรับ 2
เท่าของเงินภาษีที่ต้องเสียในเดือนภาษีตลอด หรือเป็นเงิน 1,000
บาทต่อเดือนภาษีแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
4. ต้นทุนสินค้าเพิ่ม เพราะไม่สามารถนำภาษีซื้อไปหักภาษีขายได้
เรื่อง VAT เรื่องใกล้ตัวสำหรับเจ้าของธุรกิจ
ผู้ประกอบการอาจไม่จำเป็นต้องลงไปจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด
เพราะสามารถจ้างพนักงานบัญชีให้รับผิดชอบด้านนี้ได้
เพียงแต่ต้องเข้าใจระบบภาษีทั้งหมด เพราะเรื่องภาษีคือส่วนสำคัญ
และเป็นรายจ่ายที่สามารถลดได้ถ้ามีการจัดการที่เป็นระบบและเข้าใจอย่างถูกต้อง
แถมไม่ต้องกังวลว่าจะโดนสรรพากรเรียกสอบ ทำธุรกิจได้อย่างสบายใจ
อ้างอิง : กรมสรรพากร