จากมาตรการ
“อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ” ของรัฐบาล เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายจำเป็นต้องตัดสินใจหยุดกิจกรรมจนกว่าภาวะวิกฤตนี้จะดีขึ้น
ตามด้วยการปรับตัวสู่ New Normal หรือความปกติแบบใหม่
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ พฤติกรรม การปฏิบัติต่างๆ ที่เราไม่คุ้นเคย
หรือเคยเป็นสิ่งที่ผิดปกติก่อนหน้านี้ แต่กลายมาเป็นมาตรฐานปกติในปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้โควิด-19
กลับมาระบาดซ้ำอีกรอบและจนกว่าวงการแพทย์จะสามารถคิดค้นยารักษาและวัคซีนป้องกันได้
เข้าใจกันง่ายๆ ว่า ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธุรกิจจะต้องหยุดชะงักแบบชั่วคราว แต่ก็ใช่ว่าจะต้องหยุดทำทุกสิ่งทุกอย่างตามไปด้วย ในช่วงเวลานี้ผู้ประกอบการหลายรายได้เดินตามโมเดล ‘อยู่บ้านให้เกิดยอดขาย’ ทั้งการคิดแผนการตลาด กลยุทธ์ใหม่ในการฟื้นฟูธุรกิจ การเชื่อมต่อกับช่องทางออนไลน์ การหาองค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อให้หลังผ่านพ้นภาวะวิกฤตนี้จะกลับมาฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ปัจจุบันธุรกิจหลายประเภทได้หันมาให้ความสนใจอย่างมากเกี่ยวกับการทำตลาดอย่าง
‘วิดีโอมาร์เก็ตติ้ง’ ที่ถือเป็นกลยุทธ์ขั้นเทพสำหรับการสร้างแบรนด์ สินค้าและผลิตภัณฑ์ เพราะสามารถเข้าถึงประชากรกว่า
3,000 ล้านคนทั่วโลกที่ใช้โซเชียลมีเดียในชีวิตประจำวัน
จึงถือเป็นเครื่องมือทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพอย่างหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์
ที่ครองใจผู้บริโภคแถมยังช่วยสร้างการจดจำและจูงใจให้เข้าถึงแบรนด์สินค้าและผลิตภัณฑ์ได้ง่ายอีกด้วย
อ้างอิงจากข้อมูลโครงการของ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่
หรือ NEA ที่ได้ดำเนินโครงการอบรมให้ความรู้ในหลักสูตรเรียนออนไลน์ ‘วิชาวิดีโอมาร์เก็ตติ้ง (Video Marketing)
ITE002’ จากแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์
ที่เรียกว่า ‘E-Academy’ สำหรับผู้ประกอบการไทยให้เตรียมความพร้อม
และเพิ่มทักษะการลงมือทำวิดีโอมาร์เก็ตติ้ง เพื่อต่อยอดกลยุทธ์การขายออนไลน์ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
3
เรื่องที่ต้องรู้และเตรียมตัวก่อนใช้วิดีโอมาร์เก็ตติ้ง
1. เหตุผลที่ต้องใช้วิดีโอในธุรกิจ
: ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตประจำวันผ่านมือถือ
ชอบดู ชอบแชร์ วิดีโอมากขึ้น เมื่อคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งและวิดีโอมาเจอกัน จึงสามารถเข้าถึงความคิดของผู้บริโภคได้อย่างแน่นอน
โดยผู้บริโภคจะแชร์คอนเทนต์ที่โดนใจ ซึ่งจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ทำให้พวกเขาเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของแบรนด์ได้บ่อยขึ้น
และยังง่ายขึ้นอีกด้วย อีกทั้งยังเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายต่อการค้นหา
และสามารถสร้างการรับรู้ของสินค้าและผลิตภัณฑ์ได้
2. เตรียมพร้อมก่อนผลิตคอนเทนต์
: ต้องวางคอนเซ็ปต์ของวิดีโอให้ถูกต้อง
เพื่อจะได้วางแผนระยะยาวถึงการเลือกช่องทางการเผยแพร่ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
ต้องเข้าใจกลุ่มลูกค้าไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ พฤติกรรม ไลฟ์สไตล์
และรายได้ของกลุ่มเป้าหมาย หากกลุ่มเป้าหมายชัดและเคลียร์
การผลิตวิดีโอจะง่ายมากขึ้น และตรงโจทย์ ตรงจุด ตรงใจคนดู โดยกระบวนการวางแผนก่อนจะผลิตวิดีโอคอนเทนต์นั้น
จะสามารถแบ่งคอนเซ็ปต์ออกเป็น 3 แบบ ดังนี้
- Hero Video เป็นการผลิตวิดีโอที่เน้นไปในการสร้าง
Awareness ด้วยการดึงอารมณ์ของลูกค้าให้มีส่วนร่วมในความรู้สึก
ซึ่งการผลิตวิดีโอรูปแบบนี้ จะมีค่าใช้จ่ายในการผลิตคอนเทนต์สูงกว่าประเภทอื่น
เพราะต้องพิถีพิถันในการร่างสตอรี่บอร์ดให้แข็งแรง
ที่จะสามารถเข้าถึงอารมณ์ของลูกค้าได้
- Hub Video เป็นการผลิตคอนเทนต์ที่จะสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าให้ง่าย
ผ่านการใช้กิจกรรมที่จะสร้างประสบการณ์ร่วมกันกับกลุ่มลูกค้าโดยตรง
เสมือนการสร้างคอมมูนิตี้ระหว่างแบรนด์สินค้ากับลูกค้า
- Help Video เป็นการผลิตคลิปวิดีโอสั้นๆ ที่เป็นการแบ่งปันเนื้อหา สาระ
เทคนิคต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับแบรนด์และสินค้า
เพื่อทำให้ผู้ชมสามารถใช้ชีวิตได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น
เป็นเหมือนตัวช่วยให้กับลูกค้าที่ใกล้ชิดขึ้น
สิ่งสำคัญที่สุดในการผลิตวิดีโอคอนเทนต์นั้น คือต้องสามารถวิเคราะห์ความต้องการว่าต้องการสื่อสารอะไร ไปถึงใคร ลูกค้าของเราคือใคร และมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน หากเราศึกษารายละเอียดอย่างถี่ถ้วนแล้วนั้น การผลิตวิดีโอคอนเทนต์ เพื่อนำไปใช้สร้างผลลัพธ์ทางการตลาดนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยาก
3. เลือกช่องทางเผยแพร่ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย : ช่องทางการเผยแพร่วิดีโอสำคัญ
คือหากเลือกแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้จำนวนมาก
ก็มีโอกาสสูงที่วิดีโอของจะเข้าถึงผู้ชมได้ โดยเฉพาะความนิยมของแต่ละภูมิภาค
แต่ละประเทศ รวมถึงไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ ด้วย
ตัวอย่างเช่น ประเทศในกลุ่มเอเชีย Facebook และ Youtube ยังเป็นช่องทางที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด
เมื่อเทียบกับช่องทางอื่นๆ
ดังนั้นการเจาะลึกถึงเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ในแต่ละแอพพลิเคชั่น ในการเผยแพร่วิดีโอมาร์เก็ตติ้งนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ที่ผู้ประกอบการจะต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในช่วงเวลานี้
และในกรณีที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช้งานผ่านอุปกรณ์ที่แตกต่าง
ก็ควรสร้างวีดีโอที่มีลักษณะเฉพาะสำหรับช่องทางนั้นๆ และไม่ควรใช้วีดีโอชิ้นเดิม
เพราะผู้ใช้คนเดียวไม่ได้ใช้โซเชียลมีเดียเพียงแพลตฟอร์มเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้หากสนใจสามารถเข้าไปสมัครเรียนได้ที่ https://e-academy.ditp.go.th/