ในบรรดา 10
ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ต่างก็ประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ เนื่องจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด
19 นับตั้งแต่ต้นปี 2563 ลากยาวมาถึงปี 2564 ซึ่งแต่ละประเทศต่างมีมาตรการรับมือโรคระบาดและการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ
เพื่อลดผลกระทบให้น้อยที่สุดและสามารถกลับมาฟื้นตัวได้เร็วที่สุด
โดยในชาติอาเซียน ‘เวียดนาม’ ประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีการจัดการได้ดีที่สุด และดูเหมือนว่าเศรษฐกิจเวียดนามที่ได้รับผลกระทบน้อย ทั้งกลับมาโตได้เร็วโดยในปี 2563 เติบโตอยู่ที่ 2.91% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 7% แต่ก็ถือว่าเป็นเพียงไม่กี่ประเทศทั่วโลกที่ GDP โตสวนกระแสเศรษฐกิจโลกที่กำลังดิ่งเหว
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ความสำเร็จในการควบคุมโรคอุบัติใหม่ครั้งนี้
คุณธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ ผู้จัดการทั่วไป ธนาคารกรุงเทพ
สาขาประเทศเวียดนาม วิเคราะห์ว่า เป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์การทำงานของรัฐบาลเวียดนามที่แก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างแข็งแกร่ง
ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก ทำให้เวียดนามเนื้อหอมสุดๆ ในยามนี้ ที่ทุกประเทศต่างหันหัวรบเข้าไปลงทุนด้วยมากที่สุด
และที่สำคัญประเทศเวียดนามไม่ใช่คู่ขัดแย้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริการกับจีนเกี่ยวกับเก็บภาษีศุลกากร
ทำให้นักลงทุนนานาชาติโยกย้ายฐานการผลิตและลงทุนเพื่อผลิตสินค้าส่งออกไปทั่วโลกได้อย่างไม่เป็นอุปสรรค
ดังนั้นเมื่อมองภาพรวมประเทศเวียดนามหลังจากผ่านพ้นโรคโควิด
คุณธาราบดี จึงยกให้ประเทศเวียดนามเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่แห่งเอเชีย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
และมีศักยภาพการเติบโตในระยะยาวเพราะความมีเสถียรภาพทางการเมือง เข็มทิศพัฒนาประเทศมีเป้าหมายชัดเจน
ที่รัฐบาลเวียดนามเร่งผลักดันการพัฒนาประเทศและเศรษฐกิจคู่ขนาน เพื่อความก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ
โดยพร้อมให้การสนับสนุนการลงทุนทุกมิติจากต่างประเทศให้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกันรัฐบาลเวียดนามยังได้ทำข้อตกลงการค้าทั่วโลก
ไม่ว่าจะทำข้อตกลง FTA กับยุโรปและสหรัฐฯ
รวมถึงเข้าร่วมใน ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ
CPTPP (Comprehensive and Progressive Trans-pacific Partnership) ซึ่งทำให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในการส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศสมาชิก
สร้างความได้เปรียบให้กับประเทศเวียดนามอย่างมาก
วัยหนุ่มสาวตัวเร่งผลักดันเศรษฐกิจเวียดนามเติบโต
ปัจจุบันประชากรของประเทศเวียดนามที่มีอยู่มากกว่า
96 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาวที่เริ่มทำงานถือว่ามีกำลังซื้อสูงขึ้น
ส่งผลทำให้การบริโภคภายในประเทศเติบโตแบบก้าวกระโดด และมีแนวโน้มที่เติบโตมากยิ่งขึ้นในอนาคต
ซึ่งจะเป็นหนึ่งในหลายปัจจัยหลักที่มีส่วนช่วยเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจเวียดนามให้เติบโตได้มากขึ้น
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจมีความสมดุลจากเศรษฐกิจภายในและภายนอกที่เสริมซึ่งกันและกัน
ส่วนการที่นักธุรกิจต่างชาติรวมทั้งไทยจะเข้ามาลงทุนในประเทศเวียดนามนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยเฉพาะมุมมองของนักธุรกิจไทยต้องศึกษาให้ถ่องแท้
เพราะพฤติกรรมและวัฒนธรรมของชาวเวียดนามมีความแตกต่างจากลาว กัมพูชา และเมียนมา
ที่คนไทยคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งกฎเกณฑ์ของทางการเวียดนามค่อนข้างเข้มงวดมาก
เพราะรัฐบาลปัจจุบันมีความตั้งใจในการป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชั่นอย่างเด็ดขาด
แนะลงทุนเวียดนามต้องศึกษาถี่ถ้วน-ผูกพันธมิตรท้องถิ่น
หากนักธุรกิจไทยสนใจเข้าไปลงทุนในเวียดนามนั้น
คุณธาราบดี แนะนำว่าควรเดินทางไปศึกษาดูลู่ทางด้วยตนเองอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 30 วัน
ตามที่รัฐบาลอนุญาตให้ต่างชาติอยู่ในประเทศได้ จากนั้นหมั่นลงพื้นที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม
วัฒนธรรม ของกลุ่มผู้บริโภคว่าต้องการสินค้าแบบไหน สินค้าไทยมีจุดเด่น
มีจุดด้อยอย่างไรเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ที่สำคัญต้องศึกษากฎหมายข้อบังคับจนเข้าใจ
เมื่อรู้กฎกติกาแล้วการเข้าไปลงทุนจึงไม่น่ามีปัญหา จากนั้นต้องผูกพันธมิตรคู่ค้าท้องถิ่นเพื่อความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ซึ่งถือว่าเป็นใบเบิกทางทำธุรกิจที่ดี่สุด
โดยปัจจัยเหล่านี้ล้วนแต่มีความสำคัญในการเข้ามาลงทุน แต่การลงทุนในเวียดนามนั้นต้องมีความอดทนเป็นเลิศ
เพราะส่วนใหญ่กว่าที่จะสร้างกำไรได้อาจต้องใช้ระยะเวลาราว 3-4 ปี หลังจากนั้นสร้างผลกำไรระยะยาว
ถือว่าเป็นประเทศที่มีความท้าทายในการลงทุน
เนื่องจากต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง อัตราดอกเบี้ยของเวียดนามสูงกว่าไทย
เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือนในเวียดนามอยู่ที่ 3% ต่อปี และ 12
เดือนอยู่ที่ 6-7% ต่อปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้นไปมากกว่า 9%
ต่อปีเลยทีเดียว
ส่องธุรกิจน่าลงทุน
“พลังงานทดแทน-สินค้าอุปโภค-อุตสาหกรรมการผลิต”
หลังโรคโควิดผ่านพ้นไปธุรกิจที่น่าสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศเวียดนาม
คุณธาราบดี ยังมองว่าเป็นธุรกิจที่รัฐบาลให้การสนับสนุนเป็นหลัก เช่น
ธุรกิจพลังงานทดแทน ซึ่งรัฐบาลต้องการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทนให้มากขึ้น
เพื่อทดแทนพลังงานจากถ่านหินที่สร้างมลพิษ และ PM 2.5 จึงสนับสนุนการลงทุนพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์และลม
โดยมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 80,000-90,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่ 48,000 เมกะวัตต์
เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าให้สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม
ขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภคและบริโภค
ยังมีโอกาสขยายตลาดในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง แต่นักลงทุนไทยต้องรีบเข้ามาเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับชาวเวียดนามก่อน
โดยธุรกิจสินค้าอุปโภคและบริโภคจะเป็นกลุ่มที่มีการขยายตัว สอดคล้องไปกับการเติบโตของการบริโภคภายในประเทศเวียดนามที่สูงขึ้นต่อเนื่อง
ด้วยจำนวนประชากรส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาวทำงาน มีรายได้เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และมีความต้องการใช้สินค้าในกลุ่มนี้มาก
ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตที่มีการส่งสินค้าไปจำหน่ายในยุโรปและสหรัฐฯ
ที่น่าสนใจมากที่สุด คือเข้าไปตั้งโรงงานผลิต เพราะค่าแรงถูกกว่าไทยมาก
อีกทั้งยังได้แรงสนับสนันจากรัฐบาลเวียดนามทำ FTA ในการส่งออกไปยุโรปและสหรัฐฯ ทำให้ผู้ประกอบการผลิตลดต้นทุนลงได้
และช่วยธุรกิจให้มีกำไรมากขึ้น
ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมาจวบจนปี
2564 เวียดนามสามารถเปลี่ยนจากประเทศยากจนไปสู่ประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง โดยในปี
2562 มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 2,700
ดอลลาร์สหรัฐ และที่สำคัญเวียดนามกำลังทะยานสู่ “เสือเศรษฐกิจแห่งเอเชีย” ความแข็งแกร่งของเวียดนามทำให้หลายคนมองว่าจะแซงหน้าประเทศไทยได้ไม่เกิน
2-3 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายหรือเป็นไปไม่ได้
เพราะเวียดนามที่มุ่งสร้างประเทศด้วยอุตสาหกรรมและการลงทุนตรงจากต่างชาติอย่างต่อเนื่อง GDP ของประเทศย่อมขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่หากมองการเติบโตที่มีความยั่งยืน เวียดนามอาจจะยังต้องการเวลาอีกสักระยะในการปรับเปลี่ยนจากประเทศที่เป็นฐานการผลิต ไปสู่ประเทศที่สามารถเติบโตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งเป็นการเติบโตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<