ท่ามกลางวิกฤติสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนสั่นคลอนตลาดทุนทั่วโลก
แต่วิกฤติดังกล่าวหากมองในแง่บวกประเทศไทยกลับได้รับอานิสงส์ เพราะกลุ่มทุนจากประเทศจีนจำนวนมากสนใจย้ายฐานการผลิตย้ายเม็ดเงินมาลงทุนตั้งโรงงานในประเทศไทย
ในโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) เพื่อหลีกหนีวิกฤติสงครามการค้าที่ยังปะทุไม่หยุด
ซึ่งการลงทุนในพื้นที่อีอีซีถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
กลุ่มทุนแห่มาลงทุนในประเทศไทยและในพื้นที่อีอีซีคึกคักเป็นพิเศษในช่วง
9 เดือนของปี 2562 (มกราคม-กันยายน)ที่ผ่านมาโดย น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
(บีโอไอ) เปิดเผย ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก(บีโอไอ รวมทั้งสิ้น 1,165
โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 1,048 โครงการ
ขณะที่มีมูลค่าการลงทุนรวม 314,130 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในปี 2561
มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในกิจการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
9 เดือนทะลักลงทุน”อีอีซี”1.6แสนล้าน
ตลอดปี 2561ต่อเนื่องปี 2562 รัฐบาลได้ออกไปโรดโชว์ต่างประเทศ
ตลอดทั้งเชิญชวนนักลงทุนทั่วโลกมาลงทุนในพื้นที่อีอีซีโดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจากญี่ปุ่นและจีน
ซึ่งเป็นพันธมิตรคู่ค้ามายาวนานให้หันมาลงทุนในพื้นที่อีอีซีเพิ่มมากขึ้น เพราะรัฐบาลมอบสิทธิประโยชน์มากมายซึ่งกลุ่มนักลงทุนทั้งสองประเทศไม่ทิ้งโอกาสสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี จำนวน
360 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 262
โครงการ
โดยมีเงินลงทุนรวม 167,930 ล้านบาท แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 23
เนื่องจากในปี 2561
มีโครงการขนาดใหญ่ในกิจการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูปซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อีอีซี
ขณะที่การขอรับการส่งเสริมตามมาตรการส่งเสริม SMEs มีคำขอรับการส่งเสริม
จำนวน 43 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 87 จากเดิมอยู่ที่ 23 โครงการ โดยมีเงินลงทุนรวม
2,350 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 167
จากเดิมอยู่ที่ 880 ล้านบาท
สอดคล้องกับข้อมูลของ นายทองชัย
ชวลิตพิเชฐ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขยอดการลงทุนในพื้นที่อีอีซี
ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาคึกคักมาตั้งแต่ต้นปีซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่อีอีซี
โดยตลอดปี 2562 จะมียอดเงินลงทุนเกิดขึ้นพุ่งทะลุไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท
หรืออาจเกินเป้า ซึ่งมีมากกว่าที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.)
กำหนดเป้าหมายไว้ที่ 1 แสนล้านบาท แต่แท้จริงแล้วสามารถประเมินได้จากยอดการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ที่สะสมมาตั้งแต่ปี 2560 ถึงเดือนมีนาคม 2562
จำนวน 1,126 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 7.9 แสนล้านบาท
ซึ่งนักลงทุนจะยังคงทยอยมาขอรับประกอบกิจการและขยายกิจการโรงงานต่อเนื่อง
“การลงทุนในพื้นที่อีอีซีเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดมาจากนโยบายการส่งเสริมการลงทุนในอีอีซีของรัฐบาล
ซึ่งนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอ
เป็นจำนวนมาก โดยในช่วง 1-2
ปีแรกกาลงทุนยังไม่ค่อยคึกคักเท่าที่ควรเนื่องจากนักลงทุนใช้เวลาในการพิจารณารายละเอียดโครงการต่างๆ
จากนั้นก็ตัดสินใจลงทุน ทำให้เกิดการลงทุนจริงเป็นจำนวนมากในปี 2562 และคาดว่าปี 2563 การลงทุนประกอบกิจการใหม่และขยายกิจการจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีนี้อย่างแน่นอนเพราะทุกอย่างมีคความชัดเจนสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มนักลงทุน”
ขณะเดียวกันปัญหาวิกฤติสงครามการค้าที่เกิดขึ้นเป็นผลบวกกับการลงทุนไทยที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนด้วย เพื่อใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าไปยังประเทศต่างๆ หลีกเลี่ยงการตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐอเมริกา เพราะประเทศไทยไม่ได้เป็นศัตรูกับสหรัฐฯตรงกันข้ามประเทศไทยทำการค้ากับทุกฝ่าย ทำให้ที่ผ่านมานักลงทุนทั้งจากญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ต่างจากการเข้ามาขยายการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น
ไฮสปีดเทรน 3 สนามบินเชื่อมโอกาสการค้า
หลังกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง
จำกัด และพันธมิตร (CPH) จรดปากกาเซ็นสัญญากับรัฐบาลไทยเดินหน้าลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม
3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท โดยมีกำหนดเปิดให้บริการภายในปี
2566 ยิ่งช่วยกระตุ้นให้กลุ่มนักลงทุนจากญี่ปุ่นและจีนเร่งตัดสินใจลงทุนเร็วมากขึ้น
หากไม่ต้องการพลาดโอกาสที่ดีในการเข้าไปลงทุนในในพื้นอีอีซีเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เนื่องจากจะเอื้ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าไปยังต่างประเทศและยังช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้าให้กับผู้ประกอบการที่สามารถเชื่อมโยงไปยังจังหวัดอื่นๆ
และภูมิภาคอาเซียนและยังเชื่อมไทย สปป.ลาวและจีน
ซึ่งเป็นโอกาสทองที่จะย้ายฐานการผลิตและเข้าไปลงทุนในโครงการอีอีซี
โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็กมาลงทุนไม่ขาดสาย
เช่น บริษัทขนาดใหญ่เข้าไปลงทุนภาคอุตสาหกรรมรถยนต์,เคมีภัณฑ์,คอนซูมเมอร์ ฯลฯ ส่วนบริษัทขาดกลางและเล็กส่วนใหญ่จะลงทุนด้าน
Smes ซึ่งการที่บริษัทจีนแห่งมาลงทุนในประเทศไทยและอีอีซีในปี 2562
ไม่ต่ำกว่า 1,000
รายและการลงทุนครั้งนี้ยังได้สิทธิประโยชน์จากบีโอไอ สูงถึง 8 ปี
ลดหย่อนภาษี 50% และยังจะต่อออกไปอีก 5 ปี
ทั้งนี้ยังไม่รวมทัพนักลงทุนจากมณฑลกวางตุ้งที่สนใจเข้ามาลงทุนด้วยอีกกว่า 200
บริษัท เช่นเดียวกับนักลงทุนจากเกาะฮ่องกงอีกจำนวนมากแห่มาลงทุนในไทยเพื่อหนีวิกฤติการชุมนุมประท้วงยืดเยื้อที่ไม่มีท่าที่จะจบลงเมื่อไหร่ทำให้ย้ายฐานการลงทุนมาที่อีอีซี
ขณะที่กลุ่มทุนจากญี่ปุ่นเองก็ไม่พลาดที่จะเข้ามาลงทุนในไทยและอีอีซี
เพราะหากปล่อยโอกาสให้จีนเข้ามาลงทุนฝ่ายเดียวอาจจะทำให้จีนแซงเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในประเทศไทยแทนญี่ปุ่นที่ครองแชมป์มาแล้วหลายทศวรรษ
โดยทางด้านรัฐบาลญี่ปุ่นพร้อมที่จะสนับสนุนให้นักลงทุนมาลงทุนในอีอีซี โดยจะมุ่งเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น
ไปสู่ 4.0 และเชื่อมไปยังกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม)
ตลอดทั้งให้ความร่วมมือการปรับโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆของไทย
โดยเฉพาะด้านระบบอัตโนมัติ และระบบหุ่นยนต์
นอกจากนี้ยังมีบริษัทที่มีเทคโนโลยีระดับสูงในกลุ่ม 10
อุตสาหกรรมเป้าหมายก็เตรียมตัวเข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซี เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม โครงการอีอีซีกำลังกลายเป็นสนามสู้ศึกสงครามการค้า การลงทุน ระหว่างญี่ปุ่น ซึ่งในฐานะที่ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในอีอีซีค่อนข้างมากเพราะลงทุนในไทยมานานกว่าจีน แต่ปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้ากองทัพนักลงทุนจีนจะเข้ามาลงทุนในไทยและอีอีซีเต็มรูปแบบเพื่อหนีภัยสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน