‘สวนทุเรียนลุงแกละ’ การปรับใช้ Agritech ลดต้นทุน ลดเวลา เพิ่มมูลค่าผลผลิต
ปัญหาหลักของเกษตรกรยุคเก่า
คือราคาผลผลิตตกต่ำ เนื่องจากเมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ผลผลิตออกสู่ตลาดในระยะเวลาใกล้เคียงกันจำนวนมาก
ทำให้ราคาผลผลิตต่ำตามกลไกของดีมานด์ ซัพพลาย คือมีมากราคาก็ถูก มีน้อยราคาก็แพง ขณะเดียวกันเกษตรยุคก่อนไม่สามารถคำนวณต้นทุนการผลิตที่แท้จริง
ขาดการเรียนรู้เรื่องการลดต้นทุนภาคผลิต พึ่งพาตลาดเดียว ก็ยิ่งทำให้เกษตรกรประสบปัญหาเรื่องรายได้
สุดท้ายเกิดเป็นปัญหาระดับชาติ คือความยากจนในภาคเกษตร
ปัจจุบันวงการเกษตรไทยมีการพัฒนามากขึ้น
เกิดเป็นภาพลักษณ์ใหม่ที่เรียกว่า ‘เกษตรปราดเปรื่อง’ หรือ Smart Farming
แนวคิดการทำเกษตรแบบใหม่ โดยเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีใจรักการเกษตร
หรือ Young Smart Farmer ส่งเสริมให้รู้จักบริหารจัดการเกษตร
โดยนำ Agriculture Technology (Agritech) นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลผลิต
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
นิธิภัทร์ ทองอ่อน หรือ ‘โอ๋’ เจ้าของสวนทุเรียนลุงแกละ อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง หนึ่งในเกษตรกรรุ่นใหม่
Young Smart Farmer ด้วยการนำแนวคิดสมัยใหม่มาปรับเปลี่ยนสวนทุเรียนที่รับสืบทอดจากคุณพ่อ
คือ ‘ลุงแกละ’ หรือ ‘คุณสำรวย ทองอ่อน’ ซึ่งแต่เดิมทำการเกษตรในแปลงแบบผสมผสาน
ทั้งทุเรียน เงาะ ลองกอง ขนุน และยางพารา บนผืนดินขนาด 60
ไร่ซึ่งเป็นมรดกของตระกูล
เมื่อ ‘โอ๋’ เข้ามารับไม้ต่อจากคุณพ่อ สิ่งแรกที่ทำคือ ‘การเคลียร์แปลง’ โดยเก็บเฉพาะต้นทุเรียนและจัดการแปลงใหม่ให้มีพื้นที่เป็นสัดส่วน
เพื่อให้การนำเครื่องจักรเข้ามาใช้งานในแปลงทำได้สะดวกขึ้น
และกำหนดเป้าหมายในการทำให้ทุเรียนออกผลผลิตนอกฤดูกาล ซึ่งมีราคาสูงกว่าผลผลิตตามฤดูกาลนั่นเอง
โดยหลักการทำให้ทุเรียนออกผลผลิตนอกฤดูกาลนั้นก็ไม่ซับซ้อน
คือดินดี น้ำดี ปุ๋ยดี สิ่งเหล่านี้สามารถนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ในแปลงปลูกได้
อาทิ การใช้แอปพลิเคชันพยากรณ์อากาศที่มีฟังก์ชันตรวจสภาพพื้นดินในแปลงว่าผืนดินตรงไหนมีความสมบูรณ์
ตรงไหนแห้งแล้งควรบำรุงดิน ตรวจความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ แถมยังมีฟังก์ชันคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนล่วงหน้าได้
ข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์ในการกำหนดเวลาให้ฮอร์โมน
ปุ๋ย และน้ำที่เหมาะสมสำหรับทุเรียน เมื่อต้นทุเรียนมีความสมบูรณ์ ก็จะมีความพร้อมในการออกผลผลิตแม้จะยังไม่ใช่ฤดูกาลก็ตาม
ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับการวางแผน บริหารจัดการ คำนวณเวลา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม
ลงทุนเครื่องจักร ลดแรงงานคน
ประหยัดเวลา
ปัญหาอีกประการของเกษตรกร คือ ‘ต้นทุนแรงงาน’ ขณะที่การนำเครื่องจักรมาใช้ทดแทนแรงงานคนในปัจจุบันต้องลงทุนสูง
แต่ ‘โอ๋’ มองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
แถมตนยังเรียนจบในสาขาการจัดการอุตสาหกรรม ทำให้มีความรู้ด้านเครื่องจักรที่สามารถนำมาใช้ทดแทนแรงงานคนได้
เลยลงทุนซื้อเครื่องจักรเพื่อใช้งานในสวนทุเรียน โดยเครื่องจักรที่นำมาใช้หลักๆ คือรถพ่นยา
รถกระเช้า และรถตัดหญ้า
รถพ่นยาสามารถลดแรงงานคนได้มาก
จากเดิมต้องใช้แรงงานอย่างน้อย 3
คน พอมีรถพ่นยาก็ใช้แค่คนเดียว แถมประสิทธิภาพของรถพ่นยาก็ดีกว่าใช้แรงงานคน
ส่วนการนำรถกระเช้ามาใช้ในสวนทุเรียน ‘โอ๋’ มองเรื่องความปลอดภัย ทุเรียนเป็นไม้ยืนต้นสูง
การเก็บเกี่ยวจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องทำงานบนที่สูง จึงนำรถกระเช้ามาใช้ในการตัดแต่งกิ่ง
ตัดแต่งพุ่มทรง แต่งดอก รวมถึงการเก็บผลทุเรียน
สำหรับรถตัดหญ้า หากเปรียบเทียบกับการใช้แรงงานคน
สวนทุเรียนพื้นที่ 60 ไร่ ต้องใช้แรงงานตัดหญ้าอย่างน้อย
4 คน และต้องใช้เวลาถึง 10 วัน กว่าจะเสร็จ
แต่เมื่อนำรถตัดหญ้ามาใช้งาน สามารถทำงานคนเดียวได้ ตัดหญ้าได้วันละ 20 ไร่ พื้นที่ 60 ไร่ใช้เวลาแค่ 3 วันเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนแรงงาน
ยังลดเวลาทำงาน สามารถนำเวลาที่เหลือไปทำงานอย่างอื่นได้อีก
“การนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรมาใช้ในการเกษตรจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
เพราะในอนาคตแรงงานในภาคเกษตรจะน้อยลง และเมื่อเกิดสถานการณ์นั้นจริง เราก็ยังมีเครื่องจักรที่ทดแทนแรงงานคนมาทำงานได้ต่อ”
สำหรับปัญหาหลักๆ ของเครื่องจักรคือ การดูแลรักษา
และซ่อมบำรุง โชคดีที่ ‘โอ๋’ มีความรู้ด้านนี้ เนื่องจากเรียนจบด้านเครื่องจักรโดยตรง ทำให้สามารถจัดการดูแลรักษาและซ่อมบำรุงในเบื้องต้นได้
ทั้งมองว่าปัญหาเรื่องเครื่องจักรนั้นมีน้อยกว่าปัญหาแรงงานคนเสียด้วยซ้ำ
จัดการเงินหมุนเวียน และการตลาดทั้งออนไลน์-ออฟไลน์
ในด้านการบริหารเงินทุนในสวนทุเรียนลุงแกละ
‘โอ๋’ บอกว่าต้องเตรียมเงินหนุนเวียนไว้ 7 เดือน เพราะในช่วงพักต้นทุเรียนจะใช้เวลาประมาณ 6-7
เดือน ดังนั้นเงินก้อนที่ได้จากการขายทุเรียน 40% จะนำไปเป็นเงินสำรอง
ปันส่วนอีก 40% เป็นค่าใช้จ่ายทั่วไป อาทิ ค่าปุ๋ย ฮอร์โมน
ยา ค่าแรงงานคน และยังแบ่งไปในการลงทุนด้านเครื่องจักรอีกด้วย
ส่วนการตลาดได้มีการวางแผนไว้ 2 แบบ โดย 80% ยังเป็นการทำตลาดแบบออฟไลน์
ขายส่งให้พ่อค้าในประเทศ และส่งออกไปขายที่ประเทศจีน ส่วนอีก 20% เน้นทำการตลาดออนไลน์ ในรูปแบบการเปิดรับจองทุเรียนผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊กสวนทุเรียนลุงแกละ
สำหรับลูกค้าที่สั่งจองทุเรียนออนไลน์
ทางสวนจะแขวนป้ายชื่อ และรูปลูกค้าเอาไว้ที่ผลทุเรียน รวมถึงมีสมุดคู่มือแนะนำ การเช็กระยะการสุกของทุเรียน ควรเก็บอย่างไร
และวิธีเคาะฟังเสียง แยกเสียงทุเรียนว่าสุกถึงระยะไหน เพื่อให้ตรงกับความชอบของลูกค้า
โดยจะอธิบายไว้ในสมุดคู่มือส่งให้ลูกค้าในแบบฉบับที่เข้าใจง่าย
‘โอ๋’ แนะนำเกษตรกรที่มีแนวคิดนำเทคโนโลยีมาใช้ในสวนว่า อยากให้เกษตรกรย้อนกลับไปมองปัญหาที่สวนก่อนว่ามีอะไรบ้าง
และตีโจทย์ให้แตก ถ้าอยากใช้เครื่องจักร
อาจเริ่มต้นจากการศึกษาหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตก่อนว่า เครื่องจักรนั้นทำงานอย่างไร
เหมาะสมกับแปลงปลูกของเราหรือไม่ สามารถนำมาปรับใช้ได้ไหม และที่สำคัญ ยังไม่ต้องเริ่มลงทุนในเครื่องจักรราคาแพง
อาจเริ่มจากเครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่งก่อน แล้วเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น ค่อยลงทุนด้านเครื่องจักรเพิ่มเติม
ทั้งนี้ต้องใช้ความต่อเนื่องและการวางแผนที่รอบคอบ
การนำองค์ความรู้มาต่อยอด
ผนวกกับการใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรสมัยใหม่อย่างเหมาะสมจากแนวคิดของ ‘โอ๋’ เจ้าของสวนทุเรียนลุงแกละ
นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างความสำเร็จของการทำเกษตรสมัยใหม่ และเชื่อว่าผู้อ่านจะสามารถนำแนวทางเหล่านี้ไปต่อยอดธุรกิจของตนเองได้อย่างเหมาะสม