โลกเปลี่ยนตลอดเวลา คนเปลี่ยน
ตลาดก็เปลี่ยน ดังนั้นการทำการเกษตรยุคใหม่ ไม่ใช่แค่การเพาะปลูกอย่างเดียว
แต่ต้องมองให้รัดกุมครอบคลุมครบทุกด้าน ตั้งแต่ต้นทางการผลิตไปจนถึงตลาดปลายทางผู้บริโภค
ที่สำคัญต้องมองให้เห็นโอกาส ที่สามารถนำสินค้าตอบโจทย์ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคตรงจุด
และต้องรู้จักการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด เพื่อยกระดับเกษตรกรแบบดังเดิมสู่เกษตรยุคใหม่
หรือ Smart Farming เกษตรปราดเปรื่อง ที่ใช้เทคโนโลยีเพิ่มคุณภาพผลผลิต
และรู้หลักการตลาด
ขณะเดียวกันเทคโนโลยีและสื่อออนไลน์มีบทบาทสำคัญต่อสังคมทั่วโลก คนส่วนใหญ่ทั่วโลกสื่อสารผ่านสมาร์ทโฟนผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียแบบเรียลไทม์ ทั้ง Facebook ,IG ,Twitter ,LINE หรือแม้แต่แอปพลิเคชันแชร์คลิปสั้นอย่าง TikTok ก็ได้กลายเป็นช่องทางยอดนิยมในการสื่อสารออนไลน์ ด้วยเหตุนี้ช่องทางดังกล่าว จึงกลายเป็นโอกาสการตลาดของเกษตรกรไทยที่จะได้ขยายฐานลูกค้าแบบเดิมไปสู่โลกที่กว้างขึ้น นั่นก็คือโลกออนไลน์ที่ลูกค้าอยู่ทั่งทุกมุมโลก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
5 เคล็ดลับการตลาดออนไลน์ขายสินค้าเกษตร
การขายสินค้าทางออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ
จึงไม่ใช่แค่การซื้อขายของธรรมดา แต่ต้องสร้างประสบการณ์ใหม่ มีเรื่องราวที่โดดเด่น
น่าสนใจ และกลยุทธ์ที่คิดมาล่วงหน้า เพื่อให้ลูกค้าประทับใจและกลับมาซื้อซ้ำเป็นลูกค้าประจำ
เบื้องต้นก็ต้องเข้าใจการตลาดออนไลน์ก่อนว่าสามารถทำอย่างไรได้บ้าง
1. หาจุดเด่นของสินค้าว่าคืออะไร : สินค้าเกษตรของคุณจะโดดเด่นได้ก็ด้วยสิ่งที่เรียกว่า
Storytelling คือการเล่าเรื่องสินค้าให้น่าสนใจ
แต่จะเล่าอย่างไรจึงน่าสนใจและแปลกใหม่นั่นมีกลยุทธ์มากมาย เช่น
ทำคลิปสั่นเพื่อโปรโมทในเพจของเราเอง
เล่าเรื่องความละเมียดในการดูแลรักษาและเก็บเกี่ยว
หรือสร้างสตอรี่ด้วยการคิดแบบก้าวหน้า เช่น
บอกเล่าเรื่องราวผ่านวิถีชุมชนและเกษตรอินทรีย์
หรือแม้แต่เป็นคลิปสั้นแนวตลกก็ยังได้ เพราะจำไว้สิ่งสำคัญของการเล่าเรื่องคือ
เล่าแล้วคนฟังจำได้ นึกถึงได้เป็นรายแรกๆ นี่ก็คือการสร้างการรับรู้
หรือภาษาการตลาดที่เรียกว่า Awareness นอกจากนี้การจัดแพ็คเกจ
(Packaging) สินค้าที่ดึงดูดใจ และช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกด้วย
2. ไม่รู้จะใช้แพลตฟอร์มไหน
เริ่มต้นที่ Facebook : หากคุณอยากจะทำการตลาดสักอย่าง หรือขายสินค้าเกษตรผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย
แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากแพลตฟอร์มไหนดี Facebook ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่ดีที่สุดอยู่เสมอ
จากยอดผู้ใช้งานที่สูงถึง 2,320 ล้านคน ทำให้คุณสามารถพบเจอกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายกว่านั่นเอง
อีกทั้ง Facebook ยังมีอัลกอลิธึ่มที่เข้าใจคนทั่วโลกแม้จะไม่ได้รู้จักกันมาก่อนก็ตาม
ยังช่วยให้คนเหล่านั้นค้นเจอคุณ
และพร้อมจะเสียเงินในสิ่งที่เขากำลังมองหาได้อย่างง่ายดาย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณเองก็ต้องคอยศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา
เพราะระบบอัลกอริธึ่มของ Facebook เปลี่ยนบ่อยเช่นกัน
3. ขายสินค้าให้เหมาะกับกลุ่มผู้ใช้งาน
: อย่างไรก็ตามบนโลกออนไลน์ หรือ Social Media ในทุกๆ แพลตฟอร์มนั้น
อายุของผู้ใช้งานทุกวัยแทบจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันหมด โดยส่วนใหญ่แล้วกลุ่มผู้ใช้งานที่มีจำนวนมากที่สุดคือ
กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ หรือกลุ่มมิลเลนเนียลนิยม twitter และ IG
ขณะที่กลางคนและสูงอายุมักใช้ Facebook และ LINE
ดังนั้นหากจะขายให้ผู้สูงอายุ การโปรโมทในเพจ Facebook หรือการใช้การตลาดใน LINE OA (line official account) ถ้าเจาะตลาดได้แล้วเขาจะเป็นลูกค้าประจำของคุณ ดังนั้นคิดดีๆ
หากสินค้าเกษตรของคุณเป็นของสำหรับใช้ในครัวเรือน ทำอาหาร ของฝาก
หรือของรับประทานเป็นกับข้าว
คนซื้อก็อาจจะอยู่ช่วงกลางคนไปจนถึงจะสูงอายุหน่อย ตรงนี้ไม่ใช่เกณฑ์ที่แน่นอน ทางที่ดีบันทึกข้อมูลลูกค้าประกอบด้วยเพื่อวิเคราะห์การตลาด
4. บริการไม่ดี
ครั้งต่อไปไม่มีใครซื้อ : ถึงแม้การขายสินค้าเกษตรหรือทำการตลาดบนโลกออนไลน์
เราจะไม่ได้เห็นหน้าคนซื้อ หรือรับมือกันโดยตรง
แต่หัวใจสำคัญอย่างการบริการก็ห้ามลดลงเด็ดขาด เพราะกว่า 71% ของผู้ใช้งานเผยว่า หากพวกเขามีประสบการณ์ในเชิงลบกับทางแบรนด์
เขาจะไม่ใช้บริการอีกเลยทันที จากตัวเลือกที่มีให้มากมาย
ทำให้เขาย้ายไปใช้บริการเจ้าอื่นได้ไม่ยาก กลับกันหากได้รับประสบการณ์เชิงบวกกับแบรนด์ในสื่อโซเชียลมีเดียล่ะก็
เขาจะแนะนำบอกต่อกับเพื่อนหรือคนใกล้ตัว ซึ่งนี่เป็นการตลาดที่ดีที่สุดที่จะทำให้คุณได้ลูกค้าใหม่เกือบจะ 100%
5. ใช้
Influencer : คำถามที่คุณเองก็อาจสงสัยว่าจะใช้
Influencer อย่างไร ใช้กับใคร และใช้ใคร แน่นอนว่า
เกษตรกรคงไม่จ้างพรีเซนเตอร์เป็นเหล่าดารา เซเล็บ แต่ถึงแม้ไม่จ้างคุณก็สามารถใช้ประโยชน์จากลูกค้าประเภทคนดังได้
(ถ้ามี) เช่นการให้ลูกค้าคนดังรีวิวเพื่อแลกกับการสมนาคุณ เช่น
ลูกค้าสั่งซื้อผลไม้ที่ร้าน หรือซื้อผักออร์แกนิกที่ร้าน
ก็อาจจะเสนอของแถมหรือลดราคาให้เพิ่มเติม เพื่อแลกกับการรีวิวเล็กๆ น้อยๆ
ในเพจของเขา หรือแม้แต่การให้ลูกค้าปกติรีวิวสินค้าให้เพื่อแลกกับของแถมต่างๆ
กลยุทธ์นี้ก็สามารถใช้ได้
และจริงอยู่ว่ามันดูเหมือนการตลาดที่ไม่จริงจังนักและไม่ได้มีความแปลกใหม่เท่าไหร่
แต่ถ้าคุณอยู่ในยุคที่คนส่วนใหญ่เชื่อรีวิว ก็ทำเถอะไม่เสียหาย เพราะกว่า 49% ของผู้บริโภคมองว่า พวกเขาอยากได้คำแนะนำจากคนกลุ่มที่เคยซื้อมาก่อนเพื่อที่จะตัดสินใจซื้อ
มีอีกประเด็นหนึ่งที่นิยมมากในปัจจุบัน คือการใช้เทคนิค Live streaming เรียกบ้านๆ ว่าถ่ายทอดสด หรือ ไลฟ์สด จริงๆ แล้วเทคนิคนี้ไม่เหมาะสำหรับเพจขายออนไลน์ในช่วงเริ่มต้น เพราะหากไม่มียอดวิว หรือคนเข้ามาดู เพราะเพจใหม่ยังไม่ค่อยมีคนกดไลก์หรือคนรู้จักนัก ยอดคนเข้ามาดูก็อาจจะน้อยจนหมดกำลังใจเอาได้ ดังนั้นค่อยๆ สะสมแฟนเพจไปเรื่อยๆ จนถึงระดับที่มีแฟนตัวยงหลายสิบคน ค่อยไลฟ์สดก็ยังไม่สาย
ทั้งนี้สำหรับเกษตรกรที่เริ่มต้นเข้าสู่การขายแบบออนไลน์
คำแนะนำในเบื้องต้นเหล่านี้คือแนวทางที่ควรทำเพื่อการสร้างตลาดออนไลน์ด้วยตัวเอง
แถมทำง่าย และแทบไม่ต้องใช้เงินเท่าไหร่เลย
และที่สำคัญการเพิ่มช่องทางออนไลน์ไม่ได้หมายความว่าจะลดช่องทางออฟไลน์ลง
ดังนั้นจะต้องโฟกัสไปพร้อมๆ กัน เพราะคนเดี๋ยวนี้เข้าใจยาก บางคนเห็นสินค้าในโซเชียลแล้วตัดสินใจซื้อ ในขณะที่บางคนเห็นสินค้าในโซเชียลแล้ว แต่อยากมาดูเองที่ร้านหรือที่สวนด้วยก่อนที่จะซื้อ ดังนั้นทุกช่องทางจำหน่ายจึงสำคัญมากพอๆ กัน
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
แนวคิดปรับธุรกิจ สู้เศรษฐกิจช่วง Lockdown
‘อาหารแปรรูป’ ขายอย่างไรให้มีแต่คนคลิ้กเข้ามาซื้อ