ส่อง Business Model ผู้บริหารแบรนด์ “เฌอเอม” ชูยาสมุนไพรไทย ก้าวสู่ตลาดอินเตอร์

มองเป็น เห็นโอกาส Bangkok Bank SME ในวันนี้ เราจะพาไปพูดคุยกับ คุณอัครพัจน์  ตั้งตรงจิตร (คุณตาล)  ผู้บริหาร ห้างหุ้นส่วนจำกัด จิสประพัจน์ ผู้ผลิตยาสมุนไพรตรา ‘เฌอเอม’ ที่ได้รับความนิยมทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ มายาวนานกว่า 20 ปี

หลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า “ยาสมุนไพรตรา เฌอเอม” ที่มีวางจำหน่ายอยู่ตามร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ มีต้นตำรับมาจาก “ยาตราใบโพธิ์” ยาสมุนไพรไทยแผนโบราณ ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของสรรพคุณการรักษามายาวนานกว่า 100 ปี  

แม้ว่า คุณอัครพัจน์  จะมีดีกรีปริญญาตรี จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ไปศึกษาต่อปริญญาโทที่ Eastern Michigan University สหรัฐอเมริกา ในสาขา MBA Finance แต่ท้ายที่สุด ได้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับ กลับมาช่วยงานธุรกิจครอบครัว ซึ่งก็คือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด ยาตราใบโพธิ์" 

หลังจากจบการศึกษากลับมาที่ประเทศไทย และได้ลองเข้าไปศึกษาเรียนรู้งานภายใน บริษัท ยาตราใบโพธิ์ เป็นธรรมดาของคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่อยากปรับเปลี่ยนการบริหารงานแบบเดิม ๆ และพัฒนาการบริหารงานด้วยองค์ความรู้ นวัตกรรมใหม่ ๆ แต่ด้วยวัยวุฒิในขณะนั้น อาจทำให้ความคิดเห็นของคุณอัครพัจน์  ยังไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร

และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการบริหารงานภายในบริษัทได้ดั่งที่ตั้งใจ ซึ่งเขาเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้บริหารที่อาวุโสกว่าเป็นอย่างดี จึงตัดสินใจปรึกษาหารือกับคุณพ่อ เพื่อตั้งบริษัทใหม่ของตนเอง ซึ่งนั่นก็คือ หจก. จิสประพัจน์ ผู้ผลิตยาสมุนไพรตรา ‘เฌอเอม’

คุณอัครพัจน์  เล็งเห็นโอกาสในตลาดยาสมุนไพรไทย จึงเริ่มก่อตั้งโรงงานใหม่ขึ้นในปีพ.ศ. 2544 และผลิตภัณฑ์แรกจากโรงงานใหม่แห่งนี้ก็คือ ยาดมสมุนไพร ตรา ‘เฌอเอม’

ในขณะนั้น ผลิตภัณฑ์ยาดมสมุนไพรในท้องตลาดยังมีเพียงไม่กี่เจ้า ซึ่งทุกเจ้า จะจำหน่ายยาดมในบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากโลหะ ที่คุ้นเคยกันดีในรุ่นคุณปู่คุณย่า แต่คุณอัครพัจน์  เลือกที่จะคิดต่าง และต้องการทำให้แตกต่าง ด้วยการผลิตยาดมสมุนไพรในบรรจุภัณฑ์พลาสติกเป็นเจ้าแรกของไทย ถือเป็นการปรับภาพลักษณ์ยาดมสมุนไพรของไทยให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้างขึ้น และขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ คนวัยทำงานได้อีกด้วย 

ยาดมสมุนไพรไทยขึ้นเชลฟ์ตลาดโมเดิร์นเทรนด์ โกอินเตอร์สู่นานาประเทศ

แม้ครอบครัวจะมีธุรกิจยาสมุนไพรอยู่แล้ว แต่การมาเริ่มต้นธุรกิจใหม่ของตัวเอง ทำให้คุณอัครพัจน์  เหมือนต้องเริ่มต้นจากศูนย์ ลงมือทำ ลงมือเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งในแง่ของการบริหารงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการตลาด

ในช่วงแรก ๆ ของการทำธุรกิจ บรรดาร้านขายยา ร้านขายของชำ ร้านสะดวกซื้อ ต่างเป็นฝ่ายเข้ามาติดต่อซื้อขายกับบริษัท ทว่า เมื่อเวลาผ่านไป สังคมมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนามากขึ้น ผู้คนมีทางเลือก มีอำนาจในการตัดสินใจซื้อมากขึ้น ส่งผลให้อำนาจการต่อรองย้ายไปอยู่กับร้านขายยา และร้านสะดวกซื้อมากขึ้นตามไปด้วย 

ในส่วนของ หจก. จิสประพัจน์  เองนั้น จึงไม่หยุดที่จะสร้างความได้เปรียบ เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง ทั้งการพัฒนาสินค้า คิดค้นสูตรยาใหม่ ๆ รวมถึงเพิ่มผลิตภัณฑ์หลากหลายออกสู่ตลาด และขยายฐานการรับรู้ด้วยการโฆษณา ทั้งในรูปแบบออนไลน์ และออฟไลน์ อาทิ การลงโฆษณาในรายการเกมโชว์บนช่องฟรีทีวี โฆษณาบนหนังสือ-สื่อสิ่งพิมพ์ โฆษณาบนคลื่นวิทยุท้องถิ่น เป็นสปอนเซอร์ตามอีเว้นท์ รวมไปถึงการแจกสินค้าทดลองใช้ในงานต่าง ๆ อย่าง งานกีฬา หรืองานกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งมักจะได้รับฟีดแบคที่ดี และมีคนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก 

หากผู้อ่านท่านใดยังจำได้ ยาดมสมุนไพรตรา เฌอเอม รุ่นแรก ถูกผลิตออกมาเป็นหลอดสีขาวบริสุทธิ์ ดูสะอาดตา ซึ่งคุณอัครพัจน์  เปิดเผยว่า “ในตอนแรก ตั้งใจทำหลอดสีขาว เพื่อให้ดูคลีน ๆ สมกับเป็นผลิตภัณฑ์ยา แต่พอไปวางอยู่บนชั้นวางสินค้า กลับดูกลืนไปกับสินค้าอื่น ๆ และไม่โดดเด่น จึงพัฒนาเพิ่มสีสันให้บรรจุภัณฑ์ ด้วยการนำดีไซน์สีเขียวธรรมชาติมาปรับใช้ จนออกมาเป็นรูปแบบอย่างที่เห็นในปัจจุบัน”   

ปัจจุบัน หจก. จิสประพัจน์ มีผลิตภัณฑ์ทั้งหมดราว ๆ 30 SKUs ไม่ว่าจะเป็นสินค้าในกลุ่มยาดม ยาหม่อง พิมเสนน้ำ การบูร ยาน้ำมันเหลือง Aromatic balm ฯลฯ โดยวางจำหน่ายอยู่ตามร้านขายยา ร้านสะดวกซื้อ และซูปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการส่งออกไปในอีกหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในฝั่งตะวันออกกลาง อาทิ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดูไบ โอมาน และซาอุดิอาระเบีย 

คุณอัครพัจน์  เปิดเผยว่า “ได้เข้าไปดีลกับกลุ่มผู้ประกอบการ และภาครัฐของประเทศนั้น ๆ โดยตรง ซึ่งประชากรในประเทศเหล่านี้ให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยเป็นอย่างมาก เพราะด้วยสรรพคุณทางการรักษา ประกอบกับเป็นสินค้าหายากในประเทศเขา คนในกลุ่มประเทศเหล่านี้เดินทางเข้ามาในไทยเป็นจำนวนมาก เพื่อมารักษาตัว”

จุดนี้ คุณอัครพัจน์  มองว่า หน่วยงานภาครัฐของไทยควรเข้ามาให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ไทยให้มากขึ้น เพื่อผลักดันสินค้ากลุ่มสมุนไพรไทยสู่ต่างประเทศ เพิ่มโอกาส

สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 

คุณอัครพัจน์  ได้ตอบคำถามในประเด็นนี้ไว้ว่า “ปัญหาหลักของการผลิตยาสมุนไพรไทย คือ ที่มาของวัตถุดิบ วัตถุดิบส่วนมากที่ได้มา ไม่สามารถระบุแหล่งผลิตได้ชัดเจน”

หจก. จิสประพัจน์ จึงพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการร่วมมือกับกลุ่ม “ข้าวคุณธรรม” ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรไทยที่มีการศึกษา และปรับใช้มาตรฐานต่าง ๆ ในการเพาะปลูก ที่ทำให้สามารถส่งออกสินค้าการเกษตรไปต่างประเทศได้ 

“...แต่ละปี เกษตรกรกลุ่มนี้จะมีออเดอร์ข้าวที่แน่นอนอยู่แล้ว เราก็จะใช้โอกาสช่วงที่พวกเขาว่างจากการปลูกข้าว ให้เขามาลองปลูกสมุนไพรให้เรา ถือเป็นก้าวต่อไปในการพัฒนายาสมุนไพรไทย”  

นอกจากยาสมุนไพรตรา “เฌอเอม” จะมีวางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรดแล้ว หากท่านใดมีโอกาสได้แวะเวียนมาที่ “เฌอ รีสอร์ท” ก็จะได้เจอกับสินค้าต่าง ๆ ของแบรนด์เฌอเอมเช่นกัน มีทั้งจำหน่าย และแจกแขกผู้เข้าพัก รวมถึงยังมีการใช้ลูกประคบสมุนไพรจากเฌอเอมในบริการนวดแผนไทยของทางรีสอร์ทด้วย

“เฌอ รีสอร์ท” นับเป็นอีก 1 ธุรกิจที่อยู่ในความสนใจของคุณตาล และลงมือทำจนเป็นรูปเป็นร่าง เป็นที่พักริมทะเลชะอำ-หัวหิน ในบรรยากาศความเป็นส่วนตัว ด้วยห้องพักเพียง 36 ห้อง ซึ่งมีประเภทห้องพักให้เลือกถึง 5 รูปแบบ พร้อมบริการห้องจัดเลี้ยง ห้องสัมมนา และสถานที่จัดงานแต่งงาน ด้วยทำเลที่ใกล้กรุงเทพ เดินทางสะดวก ทำให้รีสอร์ทแห่งนี้มีแขกเข้าพักไม่ขาดสาย  

คุณอัครพัจน์  ได้ให้แนวทางทิ้งท้ายไว้ว่า วิธีคิดคือ ต้องรู้ว่า เราจะเป็น CEO หรือเราจะเป็นเถ้าแก่...ถ้าเป็นเถ้าแก่ คุณต้องยืนอยู่หน้าร้านตลอด แล้วก็ต้องสั่งลูกน้องตลอดเวลา แต่ถ้าคุณเป็น CEO คุณก็ให้นโยบายไป แล้วให้เขาไปพัฒนา จากนั้นก็แค่ชี้นำ คุณไม่ต้องเฝ้าตลอดเวลา แค่คุณต้องวางระบบให้ดี