คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดของโควิด-19
พฤติกรรมของคนทั่วโลกและคนไทยจะเปลี่ยนแปลงไปสิ้นเชิงจนกลายเป็น New Normal หรือ ชีวิตวิถีใหม่
ไปในทุกด้านของการดำรงชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากากอนามัยที่จะกลายเป็นเรื่องปกติ
ไม่จำเป็นว่าใส่เฉพาะตัวเองป่วยไข้ ตลอดทั้งการหมั่นล้างมือบ่อยครั้งเพื่อป้องกันเชื้อโรค
หรือแม้แต่การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) โดยเฉพาะสังคมกลุ่มผู้สูงอายุ
(Aging Society) ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงในการติดเชื้อโควิดมากที่สุด
ดังนั้นการดำรงชีวิตของกลุ่มผู้สูงอายุต่อจากนี้ไปก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ต่อเนื่องสม่ำเสมอ แม้ว่าจากข้อมูลของกรมการแพทย์ยืนยันว่ากลุ่มผู้ป่วยโควิดในประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุวัยทำงาน แต่กลุ่มที่มีการเสียชีวิตมากที่สุด คือกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป โดยคิดเป็นร้อยละ 12.1 ส่วนผู้ป่วยอายุ 80-89 ปี จะมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 24 หรือหากติดเชื้อจำนวน 4 คน เสียชีวิตอย่างน้อย 1 ราย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
การเว้นว่างระยะห่างทางสังคมทำให้กลุ่มผู้สูงวัยต้องอยู่กับบ้านมากขึ้น
จากวิถีชีวิตเดิมต้องออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านพบปะเพื่อนฝูงในกลุ่มวัยเดียวกันเพื่อคลายความเหงา
แต่หลังจากนี้ความตระหนักด้านสุขอนามัยสำคัญมากขึ้น ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรผิดปกติจากเดิม
เมื่ออยู่บ้านนานเข้าทำให้กลุ่มผู้สูงวัยจะหันมาเสพสื่อ
ทำกิจกรรม ช้อปปิ้ง และท่องโลกออนไลน์นานมากขึ้น อินเทอร์เน็ตจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นจนแทบขาดไม่ได้
ทุกอย่างจะทำงานผ่านระบบดิจิทัลทั้งหมด ทั้งการจ่าย การโอน หรือ การทำธุรกรรมต่างๆ
ผ่านออนไลน์จะกลายเป็นเรื่องปกติแทนที่การใช้เงินสด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้สูงอายุแต่เดิมถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่มีความเชื่องช้าในการเข้าถึงเทคโนโลยี
แต่ปัจจุบันภายหลังล็อกดาวน์กลับปรากฏว่าผู้สูงอายุในเมืองใหญ่มีความสามารถในการเข้าถึง
และใช้เทคโนโลยีไม่ต่างจากคนกลุ่มอื่นเท่าไหร่นัก หรือจะเรียกได้ว่าเป็น New Normal สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุเลยก็ว่าได้
ตลาดผู้สูงวัยมีศักยภาพสูง
กำลังซื้อสูง
ในอนาคตอันใกล้ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยแท้จริง
เพราะในปัจจุบันนั้นประเทศไทยมีประชากรทั้งหมด 66.5 ล้านคน เป็นประชากรที่สูงอายุเกิน
60 ขึ้นไปจำนวน 9.4 ล้านคน หรือคิดเป็น 14% ของประชากรทั้งหมด
และจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5 แสนคน ซึ่งคาดว่าในปี 2568
จะมีจำนวนประชากรผู้สูงอายุเกิน 20% ของประชากรทั้งหมด
นั่นหมายความว่ามูลค่าตลาดกลุ่มผู้สูงวัยจะมีกำลังซื้อขนาดใหญ่และกลุ่มมีกำลังซื้อสูง
นักการตลาดและแบรนด์ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อสุขภาพที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงวัยในช่วงชีวิตเปลี่ยนผ่านจากโควิด
ไม่ว่าจะเป็นอาหารแปรรูป, เฟอร์นิเจอร์,
สินค้าไลฟ์สไตล์, เครื่องมือที่ใช้ทางการแพทย์
และวัสดุก่อสร้างตกแต่งบ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าคาดว่าจะขายดีเป็นพิเศษ
สำหรับผู้ประกอบการหากต้องการเข้าไปเจาะตลาดกลุ่มผู้สูงอายุที่นับวันเป็นตลาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูงต่อเนื่อง
ซึ่งต้องสร้างแบรนด์สินค้าให้มีคุณภาพมาตรฐานสากล ฝีมือประณีต และแม้ผู้สูงอายุจะเน้นการซื้อด้วยเหตุผลไม่ใช้อารมณ์
แต่ก็ให้ความสำคัญกับความพึงพอใจเป็นหลักด้วย
ดังนั้นทั้งเหตุผลและความพึงพอใจต้องอยู่ควบคู่กัน แต่ส่วนใหญ่กับดักที่นักการตลาดมักใช้กับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีกำลังซื้อ
คือการเจาะเข้าการขายตรงทางโทรทัศน์ โดยใช้กลยุทธ์ของถูกและดี คุ้มค่า
ที่สำคัญคือการใช้คำว่า ‘จำเป็น’ ก็สามารถสร้างแรงจูงใจได้อย่างมาก
มูลค่าตลาดพุ่งแตะ 1 แสนล้านรับผู้สูงวัยเพิ่มสูงขึ้น
นับตั้งแต่ปี 2562 ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์
และในอีก 20 ปีข้างหน้าสังคมผู้สูงอายุจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของจำนวนประชากร
ซึ่งหลากหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง เช่น คู่รักที่ไม่นิยมมีบุตร, อัตราการเกิดลดน้อยลง และการแพทย์มีการพัฒนามากขึ้น
จึงเป็นเหตุผลให้ผู้สูงวัยมีอายุยืนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยปี 2561
จำนวนประชากรผู้สูงอายุอยู่ที่ 10,666,803 ล้านคน
คิดเป็น 15% จากจำนวนประชากรทั้งหมดของไทย คาดว่าในปี 2564
จะเพิ่มเป็น 20% ของจำนวนประชากร
ส่งผลให้สถานการณ์ตลาดผู้สูงอายุ
มีแนวโน้มการเติบโตในกลุ่มธุรกิจที่สอดคล้องกับความต้องการผู้สูงอายุ อาทิ
ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ, ธุรกิจการท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุ,
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจเนอร์สซิ่งโฮมและโฮมแคร์,
ธุรกิจความงาม ธุรกิจการวางแผนทางการเงิน เป็นต้น
สำหรับตลาดกลุ่มสินค้าและธุรกิจบริการสุขภาพในประเทศไทย
มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 107,000 ล้านบาท
โดยที่ผ่านมาพบว่าตลาดคนไข้ต่างชาติของโรงพยาบาลเอกชนไทยมีผู้ใช้บริการกว่า 3.42
ล้านครั้งในปี 2561 โดยแบ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวพร้อมกับรักษาพยาบาล
หรือกลุ่ม Medical Tourism 2.5 ล้านครั้ง
และกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทย 9.2 แสนครั้ง
ตลาดสำคัญยังเป็นลูกค้าชาวเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น เมียนมา กัมพูชา และจีน
ซึ่งจะเข้ามาชดเชยรายได้กลุ่มคนไข้จากตะวันออกกลางที่มีจำนวนลดลงต่อเนื่อง
ตลาดผู้สูงอายุในประเทศไทยจึงยังมีโอกาสในการทำธุรกิจได้อีกมากแบบคาดไม่ถึง ผู้ประกอบการที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุในการใช้ชีวิตประจำวันที่ลำบากยากขึ้น เนื่องด้วยสภาพร่างกาย สภาพความเป็นอยู่ของที่อยู่อาศัย การต้องการคนดูแลช่วยเหลือ พออายุมากขึ้นทุกอย่างดูเหมือนยากลำบากขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวัน