การสานต่อการสร้างความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-อาเซียน
นับวันจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เพราะอาเซียนถือเป็นตลาดการค้าสำคัญของไทย โดยในปี
2562 ไทยกับอาเซียนมีมูลค่าการค้ารวม 107,674 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกไปอาเซียนมูลค่า 62,841 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากอาเซียน มูลค่า 44,833 ล้านเหรียญสหรัฐ
แม้ว่าปี 2563 นี้จะติดปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด 19 ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเปิดเวทีเจรจาการค้าระหว่างประเทศมากนัก โดยสมาชิกอาเซียนได้หันมาอาศัยเทคโนโลยีการสื่อสารทางไกล เพื่อขับเคลื่อนการทำงานอาเซียนให้เดินหน้าต่อไปได้ อย่างล่าสุดในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 37 หรือ ASEAN Summit ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งมี "เวียดนาม" เป็นเจ้าภาพก็ใช้วิธีการประชุมทางไกลเช่นกัน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
วาระร้อนในการประชุมอาเซียนครั้งนี้
ให้ความสำคัญกับการหาแนวทางรับมือด้านเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ซึ่งถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของอาเซียนและประชาคมโลก
โดยได้เสนอกรอบการฟื้นฟูและแผนดำเนินการภายหลังสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมทั้งปรับแผนงานตาม
AEC Blueprint 2025 และรับทราบความคืบหน้าแผนงานด้านเศรษฐกิจที่เวียดนามผลักดัน
13 ประเด็น ซึ่งล่าสุดทำสำเร็จแล้ว 7 ประเด็น
อาทิ การจัดทำดัชนีบูรณาการดิจิทัล การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินในภูมิภาค
การเชื่อมโยงศูนย์นวัตกรรมในอาเซียน
และการจัดทำกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านอาหารของอาเซียน
ขณะเดียวกันที่ประชุมยังเห็นพ้องว่า อาเซียนต้องให้ความสำคัญและเตรียมพร้อมรับมือการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ครั้งที่ 4 (4IR) โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเชื่อมต่อกันมากขึ้น
และแสวงหาประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทั้งยังได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ของอาเซียนเรื่อง 4IR ที่ครอบคลุมการทำงานในทุกด้าน
ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลจากการผลักดันของไทยในฐานะประธานอาเซียนเมื่อปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะสำเร็จในช่วงต้นปีหน้า
ในการประชุมครั้งนี้
ที่ประชุมเตรียมลงนามในเอกสารหลายฉบับ
ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปแล้ว อาทิ
1. การจัดทำวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลังปี
ค.ศ. 2025 (AEC Blueprint 2025)
2. การวางแนวทางการฟื้นตัวและสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาวให้แก่อาเซียน
หลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
3. การเสริมสร้างขีดความสามารถและความยืดหยุ่นของระบบสาธารณสุข
การศึกษา และ SMEs
4. การอำนวยความสะดวกการเดินทางด้านธุรกิจที่จำเป็นในภูมิภาค
โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยด้านสาธารณสุข
5. การส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ระหว่างผู้นำอาเซียนกับผู้นำสหรัฐฯ
ในเรื่องการศึกษา สาธารณสุข เศรษฐกิจ เป็นต้น
6. การรับรองโคลอมเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้าร่วมเป็นอัครภาคีอย่างเป็นทางการ
ในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ที่ประชุมได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ
(MoU) อาเซียน ว่าด้วยการดำเนินการมาตรการที่มิใช่ภาษีสำหรับสินค้าจำเป็น
ภายใต้แผนปฏิบัติการฮานอยว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตของอาเซียนให้เข้มแข็งในการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของโควิด
19 เป็นเอกสารฉบับแรกที่ ได้มีการลงนามทางไกลเมื่อวันที่ 10
พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา
เอ็มโอยูดังกล่าวถือว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์เมื่อเดือนเมษายน
2563 ที่ผ่านมา ที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ร่วมกันหารือถึงความร่วมมือ
เพื่อแก้ปัญหาและส่งเสริมให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้าในภูมิภาค
โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่จำเป็น เช่น อาหาร ยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์
ให้เป็นไปอย่างราบรื่น โดยให้หลีกเลี่ยงการออกมาตรการต่างๆ ที่ไม่จำเป็นและที่อาจเป็นอุปสรรคทางการค้า
สาระสำคัญของ MoU จะเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความปลอดภัยด้านสาธารณสุขจากไวรัสโควิด
19 ให้กับประชาชน
และการดำเนินการด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียน
โดยอาเซียนจะไม่ใช้มาตรการที่มิใช่ภาษี (NTMs) ที่ไม่จำเป็นและไม่สอดคล้องกับความตกลงองค์การการค้าโลก
(WTO) กับสินค้าจำเป็นในกลุ่ม ยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์
ตามบัญชีแนบท้ายรวม 152 รายการ
โดยกำหนดให้ต้องมีการแจ้งมาตรการที่ประกาศใช้แก่ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น
อย่างไรก็ตาม ประเทศสมาชิกอาเซียนยังคงมีสิทธิที่จะออกมาตรการต่างๆ ได้ หากมีสถานการณ์จำเป็นภายในประเทศ โดย MoU ฉบับนี้จะมีอายุ 2 ปี สามารถทบทวนความจำเป็นของ MoU และรายการสินค้าเพิ่มเติมได้