สำหรับ SMEs มือใหม่ สิ่งสำคัญที่ควรจะพิจารณาตั้งแต่แรกเริ่มก่อนทำธุรกิจก็ คือ “การเลือกรูปแบบธุรกิจ” เพราะธุรกิจแต่ละรูปแบบก็มีวิธีการจัดตั้งและข้อบังคับทางกฎหมายที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดภาระทางภาษีที่แตกต่างกันด้วย เช่น ธุรกิจที่มีเจ้าของคนเดียวมีสถานะเป็น “บุคคลธรรมดา” หรือ ธุรกิจที่อยู่ในรูปแบบบริษัทมี สถานะเป็น “นิติบุคคล” ซึ่งแบ่งเป็นการจดจัดตั้งเป็น 4 รูปแบบดังนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. เจ้าของคนเดียว
ธุรกิจเจ้าของคนเดียวเป็นการลงทุนคนเดียว การจัดตั้งทำได้ง่าย การบริหารคล่องตัวเพราะตัดสินใจคนเดียว กำไรจากกิจการไม่ต้องแบ่งให้ใคร แต่หากธุรกิจขาดทุน เจ้าของก็ต้องรับผิดชอบผลขาดทุนเพียงคนเดียวเช่นกัน กิจการรูปแบบนี้มีข้อบังคับทางกฎหมายน้อย แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากเจ้าของต้องแบกรับภาระของกิจการไว้ทั้งหมด ธุรกิจที่มีเจ้าของคนเดียวมีสถานะทางกฎหมายเป็น “บุคคลธรรมดา” ถือว่าเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเจ้าของ ดังนั้นเจ้าของธุรกิจมีหน้าที่ต้องยื่นแบบ “ภาษีเงิน ได้บุคคลธรรมดา” และหากธุรกิจเข้าข่ายกิจการที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ตาม พรบ. ทะเบียนพาณิชย์ เจ้าของยังต้องดำเนินการจดทะเบียนพาณิชย์ด้วย
2. ห้างหุ้นส่วนสามัญ
กิจการที่มีคนตั้งแต่
2 คนขึ้นไปมาร่วมกันลงทุน ผู้ที่มาลงทุนในกิจการเรียกว่า “หุ้นส่วน”
ทุนที่หุ้นส่วนนำมาลงในกิจการอาจจะเป็นเงิน สินทรัพย์อื่น หรือแรงงาน ก็ได้
โดยหุ้นส่วนทุกคนจะต้องรับผิดชอบต่อหนี้สินของกิจการโดยไม่จำกัดจำนวน
ห้างหุ้นส่วนสามัญโดยเริ่มต้นแล้วมีสถานะเป็น “บุคคลธรรมดา”
ซึ่งมีหน้าที่ต้องยื่นแบบ “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” และหากธุรกิจเข้าข่ายกิจการที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ตาม พรบ.ทะเบียนพาณิชย์
ยังต้องดำเนินการจดทะเบียนพาณิชย์ด้วย
แต่ถ้าหากห้างหุ้นส่วนสามัญไปจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
ห้างหุ้นส่วนสามัญก็จะมีสภาพเป็นนิติบุคคลซึ่งมีหน้าที่ยื่นแบบ
“ภาษีเงินได้นิติบุคคล” นอกจากนี้ในแง่ของการดำเนินคดีทางกฎหมาย เช่น
หากเกิดคดีความฟ้องร้อง ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคล
ผู้ฟ้องจะฟ้องร้องหุ้นส่วนคนไหนก็ได้ แต่หากห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว
การฟ้องร้องจะต้องฟ้องร้องตัว ห้างหุ้นส่วนก่อน หากห้างหุ้นส่วนมีทรัพย์สินไม่พอ
จึงค่อยฟ้องร้องหุ้นส่วน
นอกจากนี้ห้างหุ้นส่วนสามัญยังมีข้อจำกัดในเรื่องการโอนหุ้น
คือ การโอนความเป็นหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนสามัญต้องได้รับความยินยอมจากหุ้นส่วนทุกคนก่อน
จึงจะทำได้
ในอดีตผู้ประกอบการบางรายเลือกรูปแบบห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล
สำหรับกิจการของตนเพราะคิดว่าเป็นการประหยัดภาษี เนื่องจากส่วนแบ่งกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ต้องนำไปคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ของตัวหุ้นส่วนอีกรอบหนึ่ง ต่างจากห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ผู้เป็นหุ้นส่วนต้องนำ
เงินปันผลไปรวมเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหากต้องการใช้เครดิตภาษีเงินปันผล
อย่างไรก็ตามปัจจุบันกรมสรรพากรได้แก้ไขข้อกฎหมายโดยกำหนดให้ส่วนแบ่งกำไร
จากห้างหุ้นส่วนสามัญต้องนำไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้สำหรับผู้เป็นหุ้นส่วนอีกรอบหนึ่ง
และไม่สามารถใช้เครดิตภาษีเงินปันผลได้โดยมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค.2558
3. ห้างหุ้นส่วนจำกัด
เป็นกิจการที่มีคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาร่วมกันลงทุน การจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดจะต้องจดทะเบียนนิติบุคคล และหากธุรกิจเข้าข่ายกิจการที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ตาม พรบ.ทะเบียนพาณิชย์ เจ้าของยังต้องดำเนินการจดทะเบียนพาณิชย์ด้วย ข้อแตกต่างระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัดกับห้างหุ้นส่วนสามัญ คือหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนจำกัดจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
“หุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิด” หมายถึง เครดิตภาษีเงินปันผลคือส่วนกำไรของห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือบริษัทที่ถูกหักภาษีเงินได้นิติบุคคลไปแล้ว โดยผู้ที่ได้รับส่วนแบ่งกำไรหรือเงินปันผลจากนิติบุคคลสามารถเลือกใช้เครดิตภาษีเงินปันผลได้ โดยนำเครดิตภาษีมารวมเป็นเงินได้ เพื่อคำนวณจำนวนภาษีที่ต้องเสีย แล้วจึงนำเครดิตภาษีมาหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย ทำให้ท้ายที่สุดแล้วส่วนแบ่งกำไร หรือเงินปันผลที่ได้รับนั้นเสียภาษีบุคคลธรรมดาเพียงอย่างเดียว หุ้นส่วนต้องรับผิดชอบในหนี้สินของกิจการไม่จำกัดจำนวน
“หุ้นส่วนที่จำกัดความรับผิด” หมายถึงหุ้นส่วนต้องรับผิดชอบในหนี้สินของกิจการจำกัดจำนวน คือไม่เกินจำนวนเงินที่ตนได้ลงทุนไปเท่านั้น การโอนหุ้นของห้างหุ้นส่วนจำกัดทำได้ง่ายกว่าห้างหุ้นส่วนสามัญ เนื่องจากหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดสามารถโอนหุ้นให้ผู้อื่นได้ โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากหุ้นส่วนทุกคน
ห้างหุ้นส่วนสามัญ -หุ้นส่วนทุกคนไม่จำกัดความรับผิดชอบ
>> สถานะเป็นบุคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
>> การโอนความเป็นหุ้นส่วนต้องได้รับความยินยอมจากหุ้นส่วนทุกคน
ข้อดีห้างหุ้นส่วนจำกัด -หุ่นส่วนมีประเภทจำกัด
และไม่จำกัดความรับผิดชอบ
>> สถานะเป็นนิติบุคคล
>> การโอนหุ้นของหุ้นส่วนประเภทจํากัดความรับผิดชอบทําได้โดยไม่
จําเป็นต้องได้รับความยินยอมจากหุ้นส่วนทุกคน
>> ต้องมีผู้ตรวจสอบบัญชี
4. บริษัทจำกัด
เป็นกิจการที่มีบุคคลตั้งแต่
3 คนขึ้นไป นำเงินมาร่วมกันลงทุนแบ่งออก เป็น”หุ้น” ซึ่งแต่ละหุ้นมีมูลค่าเท่ากัน
แต่ “ผู้ถือหุ้น” แต่ละคนอาจมีจำนวนหุ้นไม่เท่ากันก็ได้
ผู้ถือหุ้นแต่ละคนจะได้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทตามสัดส่วนหุ้นที่ตนเองถืออยู่
และมีส่วนรับผิดชอบไม่เกินมูลค่าหุ้นที่ตนเองถืออยู่ หากยังชำระค่าหุ้นไม่ครบก็ต้องรับผิดชอบเพิ่มเติมแค่ส่วนของมูลค่าหุ้นที่ยังชำระไม่ครบ
จึงเป็นที่มาของคำว่าบริษัทจำกัดนั่นเอง
เนื่องจากแหล่งเงินทุนของบริษัทจำกัดมาจากเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นหลายคน
การบริหารและอำนาจการตัดสินใจจึงไม่ได้อยู่ที่เจ้าของแต่เพียงผู้เดียว
แต่จะบริหารในรูปแบบของ “คณะกรรมการบริษัท” ซึ่งถูกแต่งตั้งโดยผู้ถือหุ้น
คณะกรรมการบริษัทไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท
แต่อาจเป็นบุคคลภายนอกที่เป็นมืออาชีพก็ได้
บริษัทจำกัดมีสถานะเป็น
“นิติบุคคล” ซึ่งต้องจดทะเบียนจัดตั้ง
และมีข้อบังคับทางกฎหมายมากกว่าธุรกิจที่เป็นห้างหุ้นส่วนหรือเจ้าของคนเดียว
แต่ก็มีความน่าเชื่อ ถือมากกว่าเช่นกัน
ข้อดี
>> จํากัดความรับผิด
>> บริหารแบบมืออาชีพ
>> มีความน่าเชื่อถือ
>> อัตราภาษีเงินได้ขั้นสูงสุดต่ำกว่าบุคคลธรรมดา
ข้อเสีย
>> มีขั้นตอนการจัดตั้งมากกว่ารูปแบบอื่น
>> บริหารในรูปคณะกรรมการ
>> อาจไม่คล่องตัวในบางสถานการณ์
>> ค่าใช้จ่ายในการบริหารสูงกว่าบุคคลธรรมดา
>> ต้องมีผู้ตรวจสอบบัญชี
แล้วจะเลือกรูปแบบธุรกิจไหนดี?
ในการเลือกรูปแบบธุรกิจ
ผู้ประกอบการ SMEs
ควรพิจารณาถึงข้อดีข้อด้อยของ
ธุรกิจแต่ละรูปแบบ และพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
- ขนาดของเงินทุนและขนาดธุรกิจ
- การบริหารงาน
และการรับผิดต่อกิจการ
- ความน่าเชื่อถือ
ในกรณีที่ผู้ประกอบการมีเงินทุนเริ่มต้นไม่มาก
และไม่มีผู้มาร่วมบริหารกิจการ รูปแบบ “บุคคลธรรมดา” อาจเป็นรูปแบบที่สะดวกกว่า เพราะมีค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนต่ำกว่านิติบุคคล
และไม่มีข้อกำหนดให้ส่งรายงานบัญชีที่มีผู้ตรวจสอบบัญชีรับรอง
จึงมีภาระค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการต่ำ
แต่หากกิจการมีเงินทุนในการเริ่มต้นมาก
การเป็นนิติบุคคลอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม โดยเฉพาะการจัดตั้งเป็น “บริษัท”
เพราะกิจการจะแยกจากตัวเจ้าของกิจการอย่างชัดเจน
ทำให้เจ้าของสามารถจำกัดความรับผิดต่อกิจการได้
การจัดตั้งบริษัทยังช่วยให้การบริหารงานเป็นไปอย่างเป็นระบบ
เนื่องจากบริษัทต้องจัดทำรายงานบัญชี
และจัดให้มีผู้ตรวจสอบความถูกต้องของรายงานบัญชี ซึ่งช่วยให้เจ้าของสามารถรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของกิจการ
และนำข้อมูลมาใช้ในการ วางแผนธุรกิจได้
การจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลมีความน่าเชื่อถือมากกว่าการเป็นบุคคลธรรมดา
เนื่องจากมีการจดทะเบียนกับภาครัฐ ทำให้หากต้องการขยายกิจการ การติดต่อกับ
คู่ค้าและการหาแหล่งเงินทุนสามารถทำได้ง่ายกว่า
ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีอะไรบ้าง?
เมื่อเริ่มดำเนินกิจการและมีรายได้จากการประกอบกิจการแล้ว
ผู้ประกอบการมีหน้าที่นำรายได้ที่เกิดจากการประกอบกิจการมารวมกับรายได้อื่นที่มีอยู่
และนำไปคำนวณเพื่อยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล
หากกิจการมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า
1,800,000 บาทต่อปี ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียน “ภาษีมูลค่าเพิ่ม”
(VAT) ซึ่งหลังจากจดแล้ว
ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้า หรือผู้รับบริการและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน
สำหรับธุรกิจบางประเภทที่ไม่สามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างมีประสิทธิภาพได้
รัฐบาลได้กำหนดให้มีการจัดเก็บ “ภาษีธุรกิจเฉพาะ” โดยธุรกิจที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจะต้องทำการจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ
โดยมีตัวอย่างธุรกิจ ดังนี้
- การรับจำนำ
- การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร
- ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้
เพื่อเป็นการบรรเทาภาระของผู้เสียภาษีที่อาจมีภาระภาษีจำนวนมากในตอนสิ้นปี
รัฐบาลได้กำหนดให้มี “ภาษีหัก ณ ที่จ่าย”
โดยกฎหมายกำหนดให้ผู้จ่ายเงินได้ในบางกรณี ทำหน้าที่คำนวณหักเงินที่จ่ายให้แก่ผู้รับเงินตามที่กฎหมายกำหนดแล้วนำเงินนั้นส่งแก่รัฐบาล
เงินที่ได้หักและนำส่งดังกล่าวถือเป็นส่วนที่นำไปหักออกจากยอดภาษีเงินได้ที่ผู้รับต้องจ่ายเมื่อถึงกำหนดเวลายื่นแบบแสดงภาษี
ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายกำหนดให้หักภาษี ณ ที่จ่าย ผู้จ่ายเงินได้ก็ไม่ต้องหักภาษีแต่อย่างใด
นอกจากภาษีที่จัดเก็บโดยหน่วยงานส่วนกลางดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
ผู้ประกอบการยังมีหน้าที่เสียภาษีที่จัดเก็บโดยหน่วยงานท้องถิ่น เช่น
กรุงเทพมหานคร เทศบาล อำเภอ อีกด้วย โดยภาษีที่จัดเก็บโดยท้องถิ่น ได้แก่
ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย และภาษีบำรุงท้องที่
ผู้ประกอบการสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีที่จัดเก็บโดยท้องถิ่น
ได้จากเจ้าหน้าที่สำนักงานเขต (สำหรับกิจการที่อยู่ในกรุงเทพฯ) หรือเจ้าหน้าที่เขต
เทศบาลหรือองค์กรบริหารส่วนตำบล ที่กิจการของท่านตั้งอยู่
ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลขั้นต้นที่ผู้ประกอบการมือใหม่ต้องรู้
ไว้คราวหน้ามาต่อกันที่ภาษีแต่ละประเภท การคำนวณภาษีและการลดหย่อนภาษี
ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากต่อธุรกิจ
อ้างอิง
: คู่มือ
startup จัดทำโดย กรมสรรพากร