เศรษฐกิจไทยยังคงอ่อนกำลังจากหลายปัจจัย จบไตรมาส 2/2563 ไปด้วยสภาวะหดตัวสูง ภายใต้ภาพรวมด้านการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงหดตัว ตรงกันข้ามกับการใช้จ่ายในภาครัฐที่มีการขยายตัวทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายจากการลงทุน ส่วนภาคการท่องเที่ยวยังคงหดตัวสูงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศที่ยังคงเข้มงวด ทำให้เสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศมีความเปราะบาง อัตราเงินเฟื้อติดลบซึ่งเป็นการส่งสัญญาณภาวะเงินฝืด ขณะที่ในส่วนของตลาดแรงงาน ยังคงจำนวนผู้ว่างงานยังเพิ่มสูงขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ผู้บริโภคยังคงชะลอการใช้จ่ายไปจนถึงไตรมาส
4
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ
ทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกรกฎาคม 2563 จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง
2,241 คนทั่วประเทศ พบว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมแทบทุกรายการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่
3 หลังจากที่รัฐบาลได้ดำเนินการผ่อนคลายให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้ในระยะที่
1 ถึง 5 ในเดือนช่วงเดือนพฤษภาคม-เดือนกรกฎาคม
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นต่างๆ อาทิ เศรษฐกิจโดยรวมเดือนกรกฏาคท
เท่ากับ 42.6 สูงขึ้นจากเดือนมิถุนายน 41.4 โอกาสในการหางาน เท่ากับ 48.4
สูงขึ้นจาก 47.6 และรายได้ในอนาคต เท่ากับ 59.3 สูงขึ้นจาก 58.6
จากการปรับตัวดีขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการในเดือนนี้ ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
(Consumer Confidence Index: CCI) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่
3 โดยปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 49.2 เป็น 50.1
ดังนั้นคาดว่าผู้บริโภคยังคงชะลอการใช้จ่ายไปจนถึงอย่างน้อยช่วงไตรมาสที่
4 ของปี 2453 จนกว่าสถานการณ์โควิดจะคลายตัวลงและมีการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจอย่างกว้างขวาง
พร้อมกับรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมชัดเจนในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด
เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ถึงแม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงขยับขึ้นมาไม่มาก
จนแทบไม่เห็นความแตกต่างทางสถิติ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอยู่ในช่วงระดับต่ำสุดเป็นประวัติศาสตร์นับแต่ทำการสำรวจ
21 ปี 10 เดือน นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2541 เป็นต้นมา
ถือเป็นสถานการณ์ที่ต่ำว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง
“ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับดีขึ้น
3 เดือนติดต่อกัน แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในไตรมาสที่ 2
แต่ก็ไม่ได้ดีกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด 19
และสถานการณ์ที่จะกลับมาเป็นปกติยังห่างไกลแม้ว่าจะดีขึ้นก็ตาม
คาดว่าผู้บริโภคยังคงชะลอการใช้จ่ายออกไปจนถึงไตรมาสที่ 4
เนื่องจากมีความกังวลว่าตัวเองจะมีรายได้เพิ่มขึ้นหรือไม่และไม่มั่นใจเศรษฐกิจจะฟื้นจริงหรือไม่”
อย่างไรก็ตามถึงแม้เศรษฐกิจไทยจะผ่านจุดต่ำสุดมาได้
แต่ก็ยังคงน่าเป็นห่วง ซึ่งมีผลมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงทรงตัว
จากการชะลอการใช้จ่ายเงิน ปัญหาค่าครองชีพของประชาชนที่สูงขึ้น
จึงเป็นผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ผู้บริโภคไม่มีเงินมากพอจะใช้จ่ายซื้อสิ่งของต่างๆ
ไปจนถึงซื้อบ้านหรือรถยนต์ อันจะเป็นผลกระทบแบบลูกโซ่ไปสู่ระบบอุตสาหกรรมต่างๆ
ที่เกี่ยวข้อง
ส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจไทยหยุดชะงักไปจนถึงหดตัวลดลงในอัตราที่สูงก็คือ
รายได้ในภาคการท่องเที่ยวที่หายไป จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
นับจากปลายเดือนมีนาคม-เดือนมิถุนายน ที่หายไปแล้วกว่า 600,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานว่า
การปิดประเทศจากโรคโควิด 19 ในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางเข้าออกได้ ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปี
2562 ประเทศไทยขาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติไปประมาณ 620,000 ล้านบาท
คิดเป็นรายได้ที่หายไป 65.15%
การส่งออกขยายตัวได้น้อย –
ชะลอตัวต่อเนื่อง
ด้านการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวในครึ่งปีหลัง
ซึ่งการส่งออกช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคมของปี 2563 มีมูลค่า 97,899 ล้านดอลลาร์ ลดลง
3.71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562
ในขณะที่หลายฝ่ายประเมินว่าการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย
(สรท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มสถานการณ์การส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง
ต้องดูปัจจัยเสี่ยงต่อเนื่องจากการส่งออกเดือนพฤษภาคม
ซึ่งสถิติที่ออกมาค่อนข้างชัดเจนถึงผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของหลายประเทศ
โดยเฉพาะประเทศที่เป็นตลาดหลักส่งออกของไทยติดลบทุกประเทศ
ยกเว้นตลาดจีนที่ยังขยายตัวได้
รวมทั้งทำให้สินค้าส่งออกติดลบเกือบทุกรายการ
มีเพียงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและกลุ่มอาหาร ผัก ผลไม้ ที่เป็นบวก
ซึ่งการส่งออกติดลบมาจากสถานการณ์โควิดส่งผลต่อความมั่นใจของรายได้ที่กระทบต่อกำลังซื้อ
เพราะเมื่อผู้บริโภคตกงานก็ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง
คาดว่าตลาดในกลุ่มเอเชียมีโอกาสกลับมาพลิกฟื้นได้เพราะเริ่มมีกำลังซื้อเพิ่ม
นำโดยตลาดจีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น อาเซียนที่ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 ยังขยายตัวได้
0.2% รวมถึงตลาดสหรัฐที่มีโอกาสขยายตัว จากสถิติการส่งออกในช่วงเดือนมกราคม–พฤษภาคม
ของปีนี้ที่ยังคงขยายตัวได้ 0.3%
ร้านค้า
เครือข่ายทยอยปิดสาขารักษาสภาพคล่อง
ถึงแม้จะมีการผ่อนปรนมาตรการให้ร้านค้า
ร้านอาหาร ห้าง ร้าน เปิดบริการได้ตามปกติตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม
ยอดขายของร้านค้าต่างๆ ก็ยังไม่กลับมาฟื้นตัวดังเดิม
ซึ่งมีผลมาจากการจับจ่ายของผู้คนลดลงตามสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและกำลังซื้อลดลง
ขณะที่ต้นทุนค่าเช่าพื้นที่ ค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำ ไฟ และวัสดุอื่นๆ
เป็นตัวแปรสำคัญยังคงที่ จึงพบว่าร้านค้าตามห้างร้านต่างทยอยปิดตัว
โดยเฉพาะร้านค้าที่เป็นกลุ่มร้านอาหาร
เสื้อแฟชั่น ร้านกาแฟ-เบเกอรี่ สินค้าความงาม กล้องและอุปกรณ์กล้อง เพื่อยุบสาขาลดต้นทุนในการดำเนินการ
ผู้ประกอบการร้านอาหารรายเล็ก-รายกลางที่ไม่มีสายป่านยาว
และไม่มีแพลตฟอร์มช่องทางขายเป็นของตัวเอง จึงค่อนข้างอยู่ยากและลำบากมากในช่วงนี้
เพราะแม้แต่แบรนด์ดังข้ามชาติ
ยังชะลอการขยายสาขาและต้องพิจารณาปิดสาขาที่ไม่ทำกำไรหรือมีต้นทุนในการจัดการดูแลสูงลงไป
เพื่อรักษาสภาพคล่องให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ภายใต้เศรษฐกิจไทยที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ทั้งนี้คงต้องคอยจับตาดูต่อไปว่าหลังผ่านมาตรการการช่วยเหลือจากภาครัฐในระยะต่างๆ และการผ่อนปรนข้อกำหนดทั้งหมดไปแล้ว เศรษฐกิจไทยจะถีบตัวขึ้นได้อีกครั้งในเร็ววันหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าภาครัฐจะมีการลงทุนและการใช้จ่ายเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างหนักอยู่เพียงฝ่ายเดียวในขณะนี้.