ตราบที่ไม่มีวัคซีนป้องกันโควิค-19 การค้าโลกจะไม่ดีขึ้น
ข้อมูลจากองค์การการค้าโลก (WTO) ที่เผยแพร่รายงานการศึกษาการค้าสินค้าทางการแพทย์กับวิกฤตโควิด-19
แสดงสถิติการส่งออก นำเข้า และการเก็บภาษีศุลกากรสินค้าทางการแพทย์ของประเทศต่างๆ
ระบุทั่วโลกมีการนำเข้าและส่งออกยามากที่สุดในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) โดยจีนครองแชมป์ส่งออกหน้ากากอนามัย
สิงคโปร์แชมป์ส่งออกเครื่องช่วยหายใจ ส่วนไทยเก็บภาษีสินค้าทางการแพทย์เฉลี่ย 7.2%
แต่ล่าสุดรัฐบาลได้ยกเว้นภาษีนำเข้าหน้ากากอนามัยแล้ว
และปรับลดภาษีนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์เป็นการชั่วคราว
อย่างไรก็ตามแม้ดีมานด์ด้านยาและเวชภัณฑ์จะเพิ่ม
ทว่าเศรษฐกิจโลกที่โดนทุบจนกิจกรรมทุกอย่างแทบหยุดชะงัด
ทำให้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะถดถอยอย่างรุนแรง
เบาสุดการค้าโลกจะลดลง 13% หนักสุดลด 32% หรือมากกว่า นี่คือการคาดการณ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) และระบุอีกว่า ปัจจัยที่มีผลกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก คือความรวดเร็วในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และนโยบายหรือมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจที่ประเทศต่างๆ นำมาใช้ และหากทุกประเทศร่วมมือกันจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วกว่าการที่แต่ละประเทศดำเนินมาตรการเอง แต่การคาดการณ์ดังกล่าวอาจยังไม่แน่นอน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ อาทิเช่น สภาวะตึงเครียดของตลาดสินเชื่อ ที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการให้บริการการเงินเพื่อการค้าระหว่างประเทศ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ด้านผลกระทบของวิกฤตไวรัสโควิด-19 ต่อภาคธุรกิจต่างๆ พบว่า
มาตรการปิดเมืองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสในหลายประเทศทั่วโลก เช่น จีน
สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ทำให้มีการปิดโรงงานชั่วคราว
ส่งผลให้ห่วงโซ่การผลิตหยุดชะงัก ซึ่งกระทบต่ออุตสาหกรรมที่มีห่วงโซ่มูลค่าซับซ้อนโดยตรง
เช่น อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์
สำหรับภาคการค้าบริการส่งผลให้การใช้บริการคมนาคมขนส่ง ท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจค้าปลีกและบริการต่างๆ
ลดลง หรือต้องปิดตัวในบางธุรกิจ เนื่องจากประเทศต่างๆ
มีมาตรการจำกัดการขนส่งและการเดินทางเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส
แต่ก็ยังมีสาขาบริการที่ได้ประโยชน์จากวิกฤต เช่น การให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ
เนื่องจากสามารถใช้บริการในที่พักอาศัยได้ และมีพฤติกรรมการใช้มากขึ้น
อย่างที่ระบุในข้างต้นปัจจัยเร่งให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวเร็ว
คือมาตรการที่สามารถหยุดยั้งไวรัสโควิดได้อย่างถาวร
นั่นคือต้องมีวัคซีนในการรักษาหรือป้องกัน
ซึ่งประมาณการณ์ว่าคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 18 เดือนในการค้นคว้าและวิจัยได้สำเร็จ
ดังนั้นมองในทางร้ายไว้ก่อนว่า ปีนี้และปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะไม่ดีขึ้น และถึงแม้หมดโควิด ก็ไม่แน่ว่าทุกอย่างจะกลับมาสู่ภาวะปกติ เพราเศรษฐกิจโลก การค้า และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงจะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในยุคหลังโควิด
อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการควรใช้ช่วงเวลานี้ เตรียมความพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลังภายหลังวิกฤต โดยต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ประเมินความเสี่ยงและทางเลือกใหม่ๆ รวมถึงปรับปรุงรูปแบบการดำเนินธุรกิจด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและบริการ ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับการสร้างและรักษาพันธมิตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อเพิ่มแนวร่วมในการแก้ไขปัญหา ตลอดจนคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่จะมีผลต่อพฤติกรรมของตลาดและผู้บริโภคในอนาคต เช่น ความปลอดภัย สุขภาพอนามัย และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น